พระธาตุดุม.....ในอีกมุมมอง
สงสัยมานานแล้วว่า....ทำไมพระธาตุดุม (ปราสาทขอม) ที่อำเภอเมืองสกลนครจึงมีรูปร่างแปลกไปจากพระธาตุองค์อื่นๆในจังหวัดสกลนคร แถมยังใช้วัสดุก่อสร้างส่วนใหญ่ของตัวห้องเป็น "อิฐเผา" และเสริมด้วยหินทรายกับศิลาแลงในบางส่วน แสดงว่าปราสาทหลังนี้ต้องนัยที่ไม่เหมือนปราสาทขอมอื่นๆในจังหวัดสกลนคร
อนึ่ง การเรียกชื่อปราสาทขอมในแถบพื้นที่ภาคอีสานตอนบนใช้คำว่า "พระธาตุ" เพราะเป็นศัพท์ภาษาลาวล้านช้าง แต่ภาคอีสานตอนใต้ จังหวัดบุรีรัมย์ ศรีสะเกษ และสุรินทร์ ใช้คำว่า "ปราสาท" เพราะเป็นอิทธิพลของกัมพูชา เช่น ปราสาทพนมรุ้ง ปราสาทตาเมือนธม ปราสาทเมืองต่ำ เป็นต้น ดังนั้นในที่นี้ขอใช้คำว่า "ปราสาทดุม" เพื่อให้สอดคล้องกับที่มาของโบราณสถานแห่งนี้
พยายามหาหนังสือและข้อมูลจากหลายแหล่งมาอ่านก็ยังไม่มีใครวิจารณ์ในประเด็นนี้ ในฐานะที่เป็น "นักพิภพวิทยา" ซึ่งมองมนุษยชาติในแง่มุมที่หลากหลายโดยผสมผสานระหว่างแขนงวิชาต่างๆตั้งแต่จุลชีวันยันต่างดาว จึงจำเป็นต้องออกมาวิเคราะห์ในมุมมองใหม่ เป็นที่ทราบโดยทั่วไปว่าเวลานักโบราณคดีให้ความเห็นเกี่ยวกับความเป็นมาของโบราณสถานต่างๆ ท่านเหล่านั้นมักไม่ได้ฟันธงตรงๆแต่ใช้วิธีพูดแบบกึ่งแทงกั้ก เช่น คาดว่า น่าจะ เชื่อว่า สัณนิษฐานว่า มีความเห็นว่า อาจเป็นไปได้ว่า ผู้รู้กล่าวว่า ฯลฯ เนื่องจากท่านก็ไม่ได้เกิดในยุคนั้น ไม่ได้เห็นเหตุการณ์ด้วยตาตนเอง ไม่มีผู้ใดเป็นประจักษ์พยาน จึงจำเป็นต้องใช้วิธีประมวลและศึกษาข้อมูลตามหลักวิชาการที่น่าจะสอดคล้องแล้วมาสร้างบทสรุปที่ "เชื่อว่าเป็นไปได้" ผมไม่เคยเรียนวิชาโบราณคดีแต่ก็อาศัยความรู้ทางวิทยาศาสตร์และเทคนิคการหาข้อมูลแบบพนักงานสอบสวนที่ต้องทำสำนวนส่งอัยการ เริ่มต้นจากการตั้งสมมุติฐานแล้วไปหาข้อมูลทั้งเรื่องราวและวัตถุพยานมาประมวลว่า "เป็นไปได้ไม้" ส่วนจะถูกหรือผิดให้เป็นดุลพินิจของท่านผู้อ่าน
จากประสบการณ์ที่ผ่านการทำงาน ดูงาน ฝึกอบรม ในประเทศต่างๆสามสิบกว่าประเทศ ได้พบปะพูดคุยกับนักวิชาการที่รู้เรื่องโบราณคดีหลายคน ท่านเหล่านั้นพูดตรงกันว่า "ห้ามเถียงกันในเรื่องประวัติศาสตร์" ทุกคนมีสิทธิให้ความเห็นและมุมมอง ไม่งั้นจะต้องต่อยปากกันแตกไปข้างนึง สามสิบปีที่แล้วผมอยู่ที่ประเทศอิสราเอลดินแดนแห่งพระคำภีร์ไบเบิ้ล มีโอกาสพูดคุยกับนักโบราณคดีหลายคนที่กรุงเยรูซาเลม ทุกคนยอมรับว่า "สรุปความเห็นตามวัตถุพยาน และเรื่องราวที่ประมวลจากจารึก หรือบันทึกเท่าที่ค้นพบ" หากได้ข้อมูลใหม่หรือค้นพบหลักฐานใหม่ก็สามารถเปลี่ยนข้อสรุปใหม่ได้....ไม่ว่ากันครับ
ปราสาทดุมในมุมมองของผม
1.ยังไม่มีข้อมูลว่าปราสาทหลังนี้มีชื่อจริงๆว่าอะไร ชื่อพระธาตุดุม มาจากนิทาน "ดุมล้อเกวียน" มาหักตรงนี้พอดี เช่นเดียวกับปราสาทขอมจำนวนมากที่ได้ชื่อใหม่ตามเรื่องราวในตำนาน นิทานพื้นบ้าน หรือตั้งชื่อตามสถานที่ในปัจจุบัน นักโบราณคดีเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าปราสาทหลังนี้หรือปราสาทหลังนั้นมีชื่อจริงๆว่าอะไร เพราะหลายแห่งไม่มีการบันทึกไว้อย่างเป็นเรื่องเป็นราว หรือไม่ก็ตั้งชื่อตามความนิยมในยุคปัจจุบัน เช่น ปราสาทนครวัด เป็นชื่อใหม่เนื่องจากมีการนำพระพุทธรูปเข้าไปไว้ในนั้นมากมายจนดูเหมือนว่าเป็นวัด แต่ความจริงปราสาทหลังนี้สร้างตามความเชื่อของศาสนาฮินดูสมัยพระเจ้าสุริยะวรมันที่ 2
2.ปราสาทหลังนี้ดูแล้วน่าจะเก่าแก่กว่าปราสาทหลังอื่นๆในจังหวัดสกลนคร ด้วยเหตุผลของรูปร่าง และวัสดุก่อสร้างที่เป็นอิฐเผา เนื่องจากยุคทวาราวดี อาณาจักรเจนละ และอาณาจักรขอมตอนต้นนิยมใช้วัสดุอิฐเผา เช่นปราสาทวัดภู ที่จำปาสัก สปป.ลาว ปราสาทพระโค ที่ตำบลโรโล่ย เสียมราช ประเทศกัมพูชา ปราสาทภูมิโปน ที่จังหวัดสุรินทร์ และปราสาทสัมโบร์ ไพรคุก (Sambor Prei Kuk) ที่กัมพูชา อนึ่งปราสาทขอมหลังแรกที่สร้างด้วยหินทรายคือปราสาทบากอง (Bakong Temple)
ข้อมูลและภาพถ่ายโบราณสถานในประเทศกัมพูชา Sambor Prei Kuk สร้างในยุคก่อนอาณาจักรขอม (Pre Angkorian 6th - 9th Century) ซึ่ง ผศ.ดร.สพสันติ์ เพชรคำ ผู้อำนวยการสถาบันภาษา ศิลปะ และวัฒนธรรม ม.ราชภัฏสกลนคร ส่งมาให้ทาง Facebook ปลายเดือนพฤษภาคม 2562 ทำให้ผมได้หลักฐานที่เชื่อว่า "พระธาตุดุม หรือ ปราสาทดุม" ที่สกลนคร น่าจะมีอายุเก่าแก่กว่าปราสาทอื่นๆในตัวจังหวัดเพราะมีรูปร่างหน้าตาคล้ายกับปราสาท Sambor Prei Kuk อีกทั้งวัสดุก่อสร้างก็เป็นอิฐเผาเหมือนกัน
ขอบคุณอย่างสูงแก่ ผศ. ดร. สพสันติ์ เพชรคำ และ ดร.อนุวัฒน์ การถัก ที่ส่งภาพโบราณสถาน Sambor Prei Kuk ประเทศกัมพูชามาให้อย่างจุใจ
เปรียบเทียบภาพถ่ายระหว่างโบราณสถาน Sambor Prei Kuk ประเทศกัมพูชา กับปราสาทดุม ที่สกลนคร
เห็นได้ชัดเจนว่าปราสาททั้งสองแห่งมีรูปร่างลักษณะคล้ายกันมากอีกทั้งวัสดุก่อสร้างก็ทำด้วยอิฐเผาเหมือนกัน
ภาพถ่ายโบราณสถานยุคก่อนอาณาจักรขอม และอาณาจักรขอมตอนต้น
ปราสาทวัดภูที่แขวงจำปาสัก สปป.ลาว ก่อสร้างในยุคอาณาจักรเจนละ (Pre-Angkor) ก่อนสมัยอาณาจักรขอม จึงใช้วัสดุอิฐเผาเป็นหลักแต่ต่อมาถูกดัดแปลงเพิ่มเติมในยุคขอมเรืองอำนาจจึงมีหินทรายและศิลาแลงเข้ามาเสริม
ภาพนี้เปรียบเทียบให้เห็นชัดเจนถึงการดัดแปลงและก่อสร้างเพิ่มเติมจากปราสาทวัดภูดั้งเดิมที่เป็นอิฐเผาให้เป็นวัสดุหินทราย ทำให้มีการแยกตัวออกจากกันเพราะเนื้อวัสดุต่างชนิด
ปราสาทพระโคสร้างในยุคต้นๆของอาณาจักรขอมใช้อิฐเผาเป็นหลักและเสริมด้วยหินทรายตรงขอบประตู หน้าต่าง ทับหลัง บันได และรูปสลักต่างๆ
ปราสาทพระโค ที่ตำบลโรเล่ย เมืองเสียมราช ประเทศกัมพูชา ก่อสร้างก่อนอาณาจักรขอม ก็ใช้อิฐเผาเป็นหลัก
เปรียบเทียบรูปร่างปราสาทในยุคก่อนอาณาจักรขอมกับปราสาทดุมที่สกลนครมีรูปร่างคล้ายกัน
เปรียบเทียบรูปร่างระหว่างปราสาทดุม กับปราสาทในยุคเริ่มต้นอาณาจักรขอม มีความคล้ายคลึงกันมาก
เปรียบเทียบระหว่างปราสาทดุม กับปราสาทพระโค มีส่วนคล้ายกันมากที่รูปทรงและวัสดุอิฐเผา อีกทั้งปราสาทดุมจริงๆเป็นปรางค์สามยอด (หายไปเหลือแต่ฐาน 2 ยอด)
ปราสาทดุมจริงๆมี 3 องค์ แต่หายไป 2 องค์ เหลือเพียงฐานรากทำด้วยศิลาแลง
เปรียบรูปลักษณ์และวัสดุ "อิฐเผา" ระหว่างปราสาทพระโค ที่นอกเมืองเสียมราช ประเทศกัมพูชา กับปราสาทดุม สกลนคร ประเทศไทย
ปราสาทโลเล้ย (Prasat Rolei) นอกเมืองเสียมราช ประเทศกัมพูชา เป็นปราสาทที่ก่อสร้างในยุคต้นๆของอาณาจักรขอมใช้วัสดุ "อิฐเผา" ส่วนหินทรายใช้เฉพาะที่เป็นขอบประตูและทับหลัง
พระธาตุดุมใช้วัสดุส่วนใหญ่เป็น "อิฐเผา" ส่วนหินทรายใช้เป็นทับหลัง และศิลาแลงเป็นฐานราก
ปราสาทหรือพระธาตุดุมมีรูปร่างคล้ายปราสาทภูมิโปน ที่จังหวัดสุรินทร์ซึ่งเป็นปราสาทขอมเก่าแก่ที่สุดในประเทศไทย (นัยว่าเป็นอาณาจักรเจนละบก)
3.หรือว่าเป็นศาสนสถานดั้งเดิมในยุคทวาราวดี แล้วต่อมาถูกดัดแปลงเป็นปราสาทฮินดูในยุคขอมเรืองอำนาจ ดินแดนในแถบอีสานตอนบนเป็นอาณาจักรทวาราวดีมาก่อนตั้งแต่พุทธศตวรรษ ที่ 11 และพอมาถึงพุทธศตวรรษ ที่ 15 ดินแดนแถบนี้ก็ตกอยู่ในอิทธิพลของอาณาจักรขอม โบราณสถานหลายแห่งมีหลักฐานการทับซ้อนระหว่างศิลปะทวาราวดีกับศิลปะขอม
สิ่งก่อสร้างในยุคทวาราวดีล้วนก่อสร้างด้วยอิฐเผา
เปรียบเทียบระหว่างภาพถ่ายเมื่อร้อยปีที่แล้วกับปัจจุบัน
เมื่อครั้งที่กรมพระยาดำรงราชานุภาพเสด็จมาตรวจราชการที่จังหวัดสกลนครในเดือนมกราคม พ.ศ.2449 มีการถ่ายภาพโบราณสถานต่างๆไว้รวมทั้งปราสาทดุม ภาพเหล่านี้เก็บรักษาไว้ที่หอจดหมายเหตุแห่งชาติ กรุงเทพฯ ได้ดูภาพดังกล่าวแล้วพบว่าภาพสลักบางส่วนของปราสาทไม่ได้อยู่ที่เดิม อาจเป็นไปได้ว่าเมื่อคราวที่กรมศิลปากรเข้าทำการบูรณะได้นำโบราณวัตถุบางส่วนไปตั้งแสดงที่พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติที่จังหวัดขอนแก่น
ภาพสลักบนหน้าจั่ว (มองไม่ชัดว่าเป็นภาพอะไร) ไม่ปรากฏเห็นในปัจจุบัน
ทำภาพเชิงซ้อนให้เห็นว่าถ้าทุกอย่างเหมือนกับเมื่อร้อยกว่าปีที่แล้วจะมีรูปร่างหน้าตาอย่างไร
เปรียบเทียบลักษณะรูปร่างของ "ฐานโยนี" ระหว่างปราสาทดุม กับอีกสามแห่งพบว่าไม่เหมือนกันจึงสัญณิฐานว่าน่าจะเป็นคนละสมัย
จากปราสาทขอมฮินดู ถูกดัดแปลงเป็นวัดพุทธในยุคล้านช้าง
เป็นไปได้ว่าปราสาทหลังนี้ถูกดัดแปลงให้เป็นวัดพุทธในยุคล้านช้างเพราะมีจารึก "ภาษาไทยน้อย" ซึ่งนิยมใช้ในยุคนั้นระบุว่ามีการมอบที่ดินเพื่อการสร้างวัด ดังนั้นองค์ประกอบของปราสาทที่เป็นสัญลักษณ์ฮินดูน่าจะถูกดัดแปลง เช่น นำฐานโยนีออกไปไว้ข้างนอกตัวปราสาท (ศิวะลึงค์หายไปแล้ว) และนำพระพุทธรูปมาตั้งแทน ปิดท่อโสมสูตรหรือรื้อทิ้งไม่ให้เห็นร่องรอย
ฐานโยนีถูกนำออกมาไว้ข้างนอกตัวปราสาท และนำพระพุทธรูปไปตั้งแทน
จารึกแท่งหินทรายภาษาไทยน้อยที่กล่าวถึงการมอบที่ดินเพื่อสร้างวัด
โบราณสถานหลังนี้ กับแง่มุมดาราศาสตร์และศาสตร์แห่งความเชื่อ
จากการเก็บข้อมูลเชิงดาราศาสตร์อย่างละเอียดพบว่าปราสาทหลังนี้หันหน้าตรงกับพิกัดมุมกวาด 80 องศา (azimuth 80) เช่นเดียวกันกับตัวเมืองโบราณสกลนคร และพระธาตุเชิงชุม ประกอบกับจารึกภาษาขอมโบราณที่ขอบประตูพระธาตุเชิงชุมมีการกล่าวถึง "สงกรานต์" เมื่อใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ดาราศาสตร์ทำ simulation ย้อนหลังไปราวพันปี พบว่าดวงอาทิตย์อยู่ในราศีเมษที่ตำแหน่งมุมกวาด 80 องศา
ปราสาทดุม และตัวเมืองสกลนครโบราณ หันหน้าไปที่พิกัดมุมกวาด 80 องศา
บรรทัดที่ 11 ของจารึกภาษาขอมโบราณที่ขอบประตูพระธาตุเชิงชุมมีคำกล่าวถึง "สงกรานต์"
โปรแกรมคอมพิวเตอร์ดาราศาสตร์แสดงผลเมืองสกลนครโบราณหันหน้าไปที่มุมกวาด 80 องศา เพื่อให้ตรงกับราศีเมษในวัน "มหาสงกรานต์"
พิสูจน์ ปราสาทดุมมีนัยสำคัญกับ "มหาสงกรานต์" จริงหรือไม่?
1.ใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ดาราศาสตร์ทำ simulation ปรากฏการณ์บนท้องฟ้าเช้าตรู่วันที่ 14 เมษายน 2564 มหาสงกรานต์ พบว่าดวงอาทิตย์อยู่ในตำแหน่งมุมกวาด 80 องศา
โปรแกรมคอมพิวเตอร์ดาราศาสตร์แสดงตำแหน่งดวงอาทิตย์เช้าตรู่วันมหาสงกรานต์ 14 เมษายน 2564 อยู่ที่พิกัดมุมกวาด 80 องศา
2.ตรวจสอบการวางตัวขององค์ปราสาทว่าทำมุมเท่าไหร่โดยใช้อุปกรณ์ 3 ชนิด ได้แก่ Google Earth, Application Compass of iPhone และเข็มทิศแม่เหล็ก พบว่าอุปกรณ์ทั้งหมดแสดงผล center-line ขององค์ปราสาทดุมหันหน้าไปที่มุมกวาด 80 องศา
โปรแกรม Google Earth แสดงมุมกวาด 80 องศา
Application compass of iPhone แสดงผลมุมกวาด 80 องศา
เข็มทิศแม่เหล็กแสดงมุมกวาด 80 องศา
3.ถ่ายภาพดวงอาทิตย์ในปรากฏการณ์ "มหาสงกรานต์" เช้าตรู่วันที่ 14 เมษายน 2564 อนึ่ง ปราสาทดุมดั้งเดิมมีทั้งหมดสามหลังแต่หายไปสองหลังเหลือเพียงหลังตรงกลางที่เห็นอยู่ในปัจจุบัน อย่างไรก็ตามปราสาทดุมทั้งสามหลังหันหน้าไปที่มุมกวาด 80 องศา เหมือนกันหมด
ภาพ computer simulation ปราสาทดุมที่ยังคงสมบูรณ์
ปราสาทดุมปัจจุบันเหลือเพียงหลังเดียว ส่วนอีกสองหลังเหลือแต่ฐานรากศิลาแลง
ปราสาทดุมสองหลังที่หายไป
ปราสาทดุม หมายเลข 1 เป็นเพียงหลังเดียวที่สามารถมองเห็นดวงอาทิตย์ยามเช้า ส่วนหมายเลข 2 และหมายเลข 3 ถูกบดบังด้วยอุโบสถและต้นไม้ใหญ่
ฐานรากปราสาทดุมหมายเลข 1 ทำมุมกวาด 80 องศา
ฐานรากปราสาทดุมหมายเลข 3 ก็ทำมุมกวาด 80 องศา
ไปที่ปราสาทดุมตั้งแต่เช้ามืดวันที่ 14 เมษายน 2564
รอให้ดวงอาทิตย์ขึ้น วางหมวกไว้ที่จุด center ของฐานรากปราสาทเพื่อกำหนดตำแหน่งดวงอาทิตย์
ดวงอาทิตย์ขึ้นตรงกับ center-line ของฐานรากปราสาท
เปรียบเทียบภาพถ่ายระหว่างก่อนดวงอาทิตย์ขึ้น และดวงอาทิตย์โผล่ที่ขอบฟ้า
ดวงอาทิตย์ขึ้นตรงกับตำแหน่งมุมกวาด 80 องศา
ปราสาทหลังนี้และตัวเมืองสกลนครโบราณมีความสัมพันธ์อย่างแนบแน่นกับ "มหาสงกรานต์"
ราวพันกว่าปีที่แล้วดวงอาทิตย์ในราศีเมษหมายถึง "มหาสงกรานต์"
ดวงอาทิตย์ยามเช้าตรู่วันสงกรานต์ที่ปราสาทเชิงชุม และปราสาทดุม ทำมุมกวาด 80 องศา
น่าเสียดายว่าปราสาทดุมหลังที่เหลืออยู่ถูกบดบังด้วยอุโบสถ
สรุป
1.จากมุมมองและข้อมูลดังข้างต้น ผมมีความเห็นว่า "พระธาตุดุม" น่าจะมีอายุเก่าแก่กว่าที่เราเคยทราบ และอาจจะเป็นปราสาทหลังแรกในจังหวัดสกลนครก็ได้ อย่างไรก็ตามเอกสารของกรมศิลปากรระบุว่าปราสาทหลังมีอายุอยู่ในปลายพุทธศตวรรษที่ 16 - ต้นพุทธศตวรรษที่ 17 โดยพิจารณาจากสลักรูปทิพยบุคคลประทับบนหลังสัตว์พาหนะที่ทับหลังของประตูหลอกด้านทิศใต้ ........ ในความเห็นส่วนตัว "ทับหลัง" แผ่นนี้อาจจะเกิดจากการสร้างเพิ่มเติมในราวพุทธศตวรรษดังกล่าว ที่สำคัญผมให้น้ำหนักกับ "วัสดุที่ใช้ก่อสร้างองค์ปราสาท" มากกว่ารูปสลักหรือจารึก เพราะเป็น main structure ที่ไม่สามารถดัดแปลงได้มากนัก ........ ยกเว้นรื้อของเก่าออกและสร้างใหม่ทั้งหมด หากข้อสมมุติฐานนี้เป็นจริงก็แสดงว่าจังหวัดสกลนครได้รับอิทธิพลจากยุคก่อนอาณาจักรขอม (Pre Angkorian)
2.ปราสาทหลังนี้มีความเชื่อมโยงกับ "มหาสงกรานต์" อย่างชัดเจน สามารถพิสูจน์เชิงประจักษ์ วันที่ 14 เมษายน ทุกปี