เผยเทคนิคการออกแบบก่อสร้างปราสาทภูเพ็ก
จากการพิจารณาอย่างละเอียดในเชิงวิศวกรรม สถาปัตย์ คณิตศาสตร์ และดาราศาสตร์พบว่าผู้ออกแบบและควบคุมการก่อสร้างปราสาทหลังนี้ต้องมีความรู้อย่างมาก ไม่งั้นรูปแปลนคงไม่สามารถออกมาอย่างที่เห็น
![](http://www.yclsakhon.com/images/sub_1343112522/Slide9(2).jpg)
ภาพวาดการก่อสร้างทางขึ้นปราสาทภูเพ็ก (ภาพจากร้านอาหารในเมือง Siem Reap)
![](http://www.yclsakhon.com/images/sub_1343112522/P6130016.JPG)
ภาพถ่ายทางอากาศของปราสาทภูเพ็ก จากมุมมองด้านทิศตะวันออกเฉียงเหนือเล็กน้อย
![](http://www.yclsakhon.com/images/sub_1343112522/520 m above sea level.jpg)
![](http://www.yclsakhon.com/images/sub_1343112522/520%20m%20above%20sea%20level.jpg)
ปราสาทภูเพ็กตั้งอยู่บนยอดภูเขา ณ +520 เมตร จากระดับน้ำทะเล
![](http://www.yclsakhon.com/images/sub_1343112522/+520 m.jpg)
GPS แสดงความสูงจากระดับน้ำทะเล +520 เมตร
ปราสาทภูเพ็ก เป็นศาสนสถานสร้างในยุคขอมเรืองอำนาจ ตั้งตระหง่านอยู่บนยอดภูเขาที่ชื่อภูเพ็ก สูงจากระดับน้ำทะเลกลาง 520 เมตรอยู่ในพื้นที่ของบ้านภูเพ็ก ตำบลนาหัวบ่อ อำเภอพรรณานิคม จังหวัดสกลนคร เชื่อว่าตรงกับรัชสมัยของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ราว พ.ศ. 1724 - 1763 แม้ว่าปราสาทหลังนี้จะสร้างได้เพียงครึ่งเดียวแต่ก็แสดงถึงภูมิปัญญาที่ล้ำค่าในเชิงวิศวกรรม คณิตศาสตร์ และดาราศาสตร์ น่าที่จะเป็นตัวอย่างในเชิงเทคนิคแก่สิ่งก่อสร้างในยุคปัจจุบัน ผมนำท่านผู้อ่านไปพิจารณาเป็นข้อๆ ดังนี้
การเลือกสถานที่ ...... สเป็ก "เขาพระสุเมรุ" มีแหล่งน้ำขนาดใหญ่เป็นตัวประกอบ
ภูเขาที่ชื่อในปัจจุบันว่า "ภูเพ็ก" ถูกเลือกให้เป็นสถานที่ก่อสร้าง เนื่องจากมีความสูงกว่าภูเขาลูกอื่นๆในบริเวณเดียวกัน และยังมีรูปทรงคล้ายเขาพระสุเมร วิธีการเลือกจะต้องหามุมมองที่ใดที่หนึ่งเพื่อให้สามารถพิจารณาได้อย่างชัดเจน โดยขึ้นไปบนยอดภูเขาที่อยู่ห่างออกไปแล้วมองกลับเข้ามา (ในภาพนี้ผมถ่ายจากเฮลิคอปเตอร์ขณะที่บินสำรวจสภาพอ่างเก็บน้ำโครงการชลประทานขนาดเล็ก เดือนมีนาคม ปี 2545) ขณะเดียวกันก็มีมุมมองได้จากหลายสถานที่ เช่น จากหนองหาร และจากบริเวณใกล้เคียงอย่างบ้านดอนกกยาง ต.เหล่าปอแดง อ.เมืองสกลนคร อยู่ทางทิศใต้ของหนองหาร ภูเขาลูกนี้ไม่ว่าจะมองจากทิศทางไหนก็มีรูปร่างเหมือน "เขาพระสุเมร" ดังนั้น จึงถูกสเป็กและเข้าตากรรมการอย่างท่านพราหมณ์ผู้ออกแบบปราสาทภูเพ็กเป็นอย่างยิ่ง.....แน่นอนครับทุกอย่างลงตัวที่ภูเขาลูกนี้
อนึ่ง การเลือกสถานที่มีที่มาจากเมืองหลวงอังกอร์ ประเทศกัมพูชา คือปราสาท Phnom Krom ริมทะเลสาป มีภูเขารูปร่างคล้ายเขาพระสุเมรุเมื่อมองจากทะเลสาป อีกแห่งหนึ่งได้แก่ปราสาทวัดภู แขวงจัมปาสัก สปป.ลาว ก็เลือกภูเขาที่มีรูปร่างดุจเขาพระสุเมรุ เช่นกัน
![](http://www.yclsakhon.com/images/sub_1343112522/Slide012.jpg)
มองจากทะเลสาปจะเห็นภูเขารูปร่างคล้ายเขาพระสุเมรุที่มีปราสาท Phnom Krom ตั้งอยู่บนยอด
ซูมมุมกล้องจะเห็นปราสาท Phnom Krom ตั้งอยู่บนยอดเขา
![](http://www.yclsakhon.com/images/sub_1343112522/Slide015.jpg)
เปรียบเทียบภาพภูเขาระหว่างภูเพ็ก สกลนคร Phnom Krom Siem Reap Cambodia และ วัดภู จำปาสัก สปป.ลาว ทั้งสามแห่งมีรูปร่างคล้ายกัน
![](http://www.yclsakhon.com/images/sub_1343112522/Slide2.jpg)
ภูเขา "ภูเพ็ก" มองจากทิศใต้โดยยิงมุมกล้องจากเฮลิคอปเตอร์
![](http://www.yclsakhon.com/images/sub_1343112522/Slide10.jpg)
เปรียบเทียบรูปทรงภูเขาภูเพ็กกับเขาพระสุเมรุในจิตนาการของศาสนาฮินดูและพุทธมหายาน
![](http://www.yclsakhon.com/images/sub_1343112522/จุดยืนมองเลือกไซด์ภูเพ็ก(3).jpg)
พิจารณาจากภูมิประเทศในภาพรวมแล้วก็เชื่อได้ว่าพวกเขาน่าจะหาที่ยืนบนภูเขาบริเวณทิศใต้ของภูเพ็ก และมองเห็นภาพแบบนี้
![](http://www.yclsakhon.com/images/sub_1343112522/Slide1(1).jpg)
หรือไม่ก็มองทางด้านทิศตะวันออกจากทะเลสาบหนองหาร
![](http://www.yclsakhon.com/images/sub_1343112522/Slide2(2).jpg)
![](http://www.yclsakhon.com/images/sub_1343112522/Slide2%282%29.jpg)
หรือพวกเขาเลือกมุมมองจากหนองหารซึ่งอยู่ทางด้านทิศตะวันออกของภูเพ็ก
![](http://www.yclsakhon.com/images/sub_1343112522/Slide1(2).jpg)
![](http://www.yclsakhon.com/images/sub_1343112522/Slide1%282%29.jpg)
เปรียบเทียบมุมมองภูเขาภูเพ็กจากทิศใต้โดยยืนอยู่บนภูเขาที่ภูพาน และจากทิศตะวันออกจากหนองหาร
![](http://www.yclsakhon.com/images/sub_1343112522/Slide1(21).jpg)
ดวงอาทิตย์หย่อนตัวลงที่ยอดเขาภูเพ็กในปรากฏการณ์ "วิษุวัต" (equinox) เป็นภาพที่มองแล้วขลังในสายตาของบรรพชนที่เราๆท่านๆเรียกเขาเหล่านั้นว่า "ขอม"
![](http://www.yclsakhon.com/images/sub_1343112522/Slide2(12).jpg)
มุมมองจากบ้านดอนกกยาง ต.เหล่าปอแดง อ.เมืองสกลนคร อยู่ริมหนองหาร ทางด้านทิศใต้
![](http://www.yclsakhon.com/images/sub_1343112522/Slide3(9).jpg)
![](http://www.yclsakhon.com/images/sub_1343112522/Slide3%289%29.jpg)
![](http://www.yclsakhon.com/images/sub_1343112522/มองจากบ้านดอนกกยาง(1).jpg)
![](http://www.yclsakhon.com/images/sub_1343112522/มองจากบ้านดอนกกยาง.jpg)
การหาแหล่งวัสดุก่อสร้าง
เป็นที่ทราบกันดีในหมู่ผู้สนใจเรื่องราวของอาณาจักรขอมว่า วัสดุที่ใช้สร้างปราสาทน้อยใหญ่มาจากวัตถุสามชนิด ได้แก่ อิฐเผา หินทราย และศิลาแลง (แม่รัง) ในกรณีของปราสาทภูเพ็กใช้วัสดุเพียงชนิดเดียวคือ "หินทราย" เนื่องจากบนภูเขาลูกดังกล่าวเต็มไปด้วยหินทรายเนื้อละเอียดปริมาณมากมายในบริเวณด้านทิศตะวันตกของยอดเขา แต่ตามสะเป็กตัวปราสาทต้องอยู่ใกล้หน้าผาด้านทิศตะวันออกเพื่อให้สามารถรับแสงอาทิตย์ได้สะดวก พวกเขาก็ต้องยอมลำเลียงหินจากทิศตะวันตกไปยังทิศตะวันออกด้วยระยะทางประมาณ 300 เมตร อย่างไรก็ตามการก่อสร้างปราสาทถูกทิ้งงานอย่างกระทันหัน (อ่านเรื่องราวใน....ภูเพ็กเมกกะโปรเจค นครที่สาปสูญ) ทำให้การตัดหินถูกระงับไปด้วย หินจำนวนมากตัดไปได้เพียงบางส่วน หินบางก้อนถูกตัดเรียบร้อยแล้วทิ้งไว้กลางป่า บางก้อนตัดเข้ารูปไว้ล่วงหน้าก็ถูกทิ้งเช่นกัน
![](http://www.yclsakhon.com/images/sub_1343112522/แหล่งตัดหิน.jpg)
![](http://www.yclsakhon.com/images/sub_1343112522/แหล่งตัดหิน(1).jpg)
แหล่งตัดหินอยู่ทางด้านทิศตะวันตกของภูเขา ส่วนตัวปราสาทอยู่ทางทิศตะวันออก
![](http://www.yclsakhon.com/images/sub_1343112522/IMG_5282.JPG)
![](http://www.yclsakhon.com/images/sub_1343112522/IMG_5284.JPG)
![](http://www.yclsakhon.com/images/sub_1343112522/IMG_5287.JPG)
![](http://www.yclsakhon.com/images/sub_1343112522/P1040280.JPG)
![](http://www.yclsakhon.com/images/sub_1343112522/P1040283.JPG)
![](http://www.yclsakhon.com/images/sub_1343112522/cutting rock material site at Phupek.jpg)
![](http://www.yclsakhon.com/images/sub_1343112522/Slide1.jpg)
![](http://www.yclsakhon.com/images/sub_1343112522/Slide2(1).jpg)
![](http://www.yclsakhon.com/images/sub_1343112522/Slide3.jpg)
![](http://www.yclsakhon.com/images/sub_1343112522/Slide3.jpg)
![](http://www.yclsakhon.com/images/sub_1343112522/Slide4.jpg)
![](http://www.yclsakhon.com/images/sub_1343112522/Slide4.jpg)
ร่องรอยการสลักหินด้วยสิ่ว (ภาพจากปราสาทนารายณ์เจงเวง)
การวางผังรูปแปลนของปราสาท ให้หันหน้าตรงกับตำแหน่งดวงอาทิตย์ในวันปีใหม่ของ "ปฏิทินมหาศักราช"
ตามที่ได้เขียนเรื่องราวไว้ในบทก่อนๆว่าปราสาทภูเพ็กถูกออกแบบให้ให้เป็นศาสนาสถานและสุริยะปฏิทิน จึงต้องหันหน้าเข้าทิศตะวันออกแท้เพื่อให้แสงอาทิตย์ในวัน "วสันตวิษุวัต" (Vernal equinox) ส่องตรงเข้ายังประตูปราสาท คำถามจึงอยู่ที่ "พวกเขาหาทิศตะวันออกแท้ได้อย่างไร จากการวิจัยด้วยหลักวิชาดาราศาสตร์และคณิตศาสตร์ ผมเห็นวิธีการสองอย่าง กล่าวคือ
วิธีที่หนึ่ง ใช้การเล็งตำแหน่งดาวเหนือให้ได้ทิศ "เหนือแท้" และทำมุมกวาดไปทางขวามือ 90 องศาจะได้ทิศตะวันออกแท้ แต่วิธีนี้จะยากต่อการหาทิศตะวันออกแท้เพราะตำแหน่งของดาวเหนือในยุคนั้นเฉียงไปทางทิศตะวันออกเล็กน้อย
![](http://www.yclsakhon.com/images/sub_1343112522/ดาวเหนือ.jpg)
ภาพ graphic จากโปรแกรมดาราศาสตร์ The Starry Night แสดงตำแหน่งดาวเหนือเอียงไปทางทิศตะวันออก เหตุผลที่เป็นเช่นนี้เพราะแกนโลกแกว่ง ภาษาวิชาการทางดาราศาสตร์เรียกว่า precession of equinox
![](http://www.yclsakhon.com/images/sub_1343112522/Slide61.jpeg)
ตำแหน่งดาวเหนือในปัจจุบันค่อนข้างตรงกับทิศเหนือแท้
วิธีที่สอง ใช้วิธีพร้อตเงาดวงอาทิตย์ (Shadow plot) แบบอียิปส์โบราณ ได้ทดลองไปทำวิธีดังกล่าวที่ปราสาทภูเพ็กโดยใช้เวลาเกือบทั้งวันตั้งแต่เช้าจนบ่ายแก่ๆ ก็ได้ผลครับ สามารถหาทิศตะวันออกแท้ ทิศเหนือแท้ได้โดยไม่ยากเพราะดวงอาทิตย์เป็นอุปกรณ์การหาทิศที่ชัวร์ที่สุด (ดังในรูป) การทำ shadow plot ใช้อุปกรณ์ง่ายๆคือกระดาษหนึ่งแผ่น กับตะปู หรือวัสดุที่สามารถวางให้ตั้งฉากกับแผ่นกระดาษ ใช้วงเวียนสร้างวงกลมสักสามวงหรือมากกว่านั้นโดยให้ศูนย์กลางอยู่ที่ center ของฐานตะปู เริ่มพล้อตเงาของยอดตะปูตั้งแต่เก้าโมงเช้าและพล้อตทุกๆห้านาทีเพื่อให้ได้เส้น curve พล้อตไปเรื่อยๆจนถึงบ่ายสามโมงจะได้เส้นของเงาดวงอาทิตย์ ให้ลากเส้นตรงเชื่อมระหว่างจุดที่ curve ของช่วงเช้าและช่วงบ่ายแตะกับวงกลม เราจะได้เส้นแสดงทิศตะวันออกแท้กับทิศตะวันตกแท้
![](http://www.yclsakhon.com/images/sub_1343112522/Shadow%20plot%201%20Feb%202007%20%288%29.JPG)
วางแผ่นกระดาษบนพื้นราบเรียบ
![](http://www.yclsakhon.com/images/sub_1343112522/Shadow%20plot%201%20Feb%202007%20%2815%29.JPG)
Step 1 เริ่ม plot เงาดวงอาทิตย์ตั้งแต่เก้าโมงเช้า และ plot ไปเรื่อยๆทุกๆห้านาทีเพื่อให้ได้เส้น curve
![](http://www.yclsakhon.com/images/sub_1343112522/Shadow%20plot%201%20Feb%202007%20%2833%29.JPG)
พอถึงบ่ายสามโมงจะได้เส้น curve ให้ลากเส้นตรงเชื่อมระหว่างจุดตัดของ curve กับวงกลม จะได้เส้นตรงหลายเส้นที่ขนานกัน (ดังภาพ) เส้นตรงเหล่านี้คือทิศตะวันออกแท้ (Due East) ตะวันตกแท้ (Due West)
![](http://www.yclsakhon.com/images/sub_1343112522/Shadow%20plot%201%20Feb%202007%20%2846%29.JPG)
ส่วนทิศเหนือก็หาได้โดยทำเส้นตรงตั้งฉากกับเส้นตะวันออก - ตะวันตก การหาทิศตะวันออกแท้ด้วยวิธีนี้มีความแม่นยำสูงและง่าย ชาวอียิปส์ก็ใช้วิธีนี้ในการวางแปลนสิ่งก่อสร้างต่างๆ เช่น ปีรามิดและสฟิงส์
![](http://www.yclsakhon.com/images/sub_1343112522/Slide02.jpg)
ภาพขยายให้เห็นขั้นตอนการทำ shadow plot เพื่อหาทิศทั้งสี่ Step 1 เริ่ม plot ตั้งแต่เช้าเงาดวงอาทิตย์ชี้ไปทางทิศตะวันตก (ตรงกันข้ามกับตำแหน่งดวงอาทิตย์)
![](http://www.yclsakhon.com/images/sub_1343112522/Slide03.jpg)
Step 2 พอเข้าช่วงบ่ายเงาดวงอาทิตย์เริ่มคล้อยไปทางทิศตะวันออก
![](http://www.yclsakhon.com/images/sub_1343112522/Slide04.jpg)
![](http://www.yclsakhon.com/images/sub_1343112522/Slide4.jpeg)
Step 3 บ่ายแก่ๆเงาดวงอาทิตย์คล้อยไปทางทิศตะวันออกจนเกือบสุดทาง ให้ลากเส้นตรงระหว่างจุดตัดของเงาดวงอาทิตย์กับวงกลมแต่ละวง ( A and B) นี่คือแนวทิศ Geographic East - Geographic West สังเกตว่าทุกเส้นจะต้องขนานกันเพื่อยืนยันว่าเราทำได้ถูกต้องแล้ว
![](http://www.yclsakhon.com/images/sub_1343112522/Slide05.jpg)
Step 4 จับฉากจากแนว E - W จะได้แนวเส้น N - S เป็นรูปกากบาท
แสดงขั้นตอน shadow plot เพื่อวาง floorplan ของปราสาทภูเพ็ก
![](http://www.yclsakhon.com/images/sub_1343112522/Slide17.jpeg)
![](http://www.yclsakhon.com/images/sub_1343112522/Slide18.jpeg)
![](http://www.yclsakhon.com/images/sub_1343112522/Slide18(1).jpeg)
![](http://www.yclsakhon.com/images/sub_1343112522/Slide19.jpeg)
![](http://www.yclsakhon.com/images/sub_1343112522/Slide20.jpeg)
![](http://www.yclsakhon.com/images/sub_1343112522/Slide20(1).jpeg)
พิสูจน์การกำหนดแนว East - West โดยใช้เงาดวงอาทิตย์ในวัน "วสันตวิษุวัต" (vernal equinox) 21 March 2012 ....... วันนี้ เงาดวงอาทิตย์เป็นเส้นตรงจะยิ่งง่ายต่อการทำ shadow plot
![](http://www.yclsakhon.com/images/sub_1343112522/Slide1(23).jpg)
การทำ shadow plot ในวัน vernal equinox 21 Mar 2012 ที่ปราสาทภูเพ็ก เพื่อตรวจสอบทิศตะวันออกแท้
![](http://www.yclsakhon.com/images/sub_1343112522/Slide3(15).jpg)
![](http://www.yclsakhon.com/images/sub_1343112522/Slide2.jpeg)
เงาของดวงอาทิตย์ในวัน equinox เป็นเส้นตรงในแนว East - West ขนานกับแปลนของปราสาทภูเพ็ก
![](http://www.yclsakhon.com/images/sub_1343112522/Slide5(6).jpg)
การเคลื่อนของเงาดวงอาทิตย์ขนานกับตัวปราสาทภูเพ็ก ในแนว East - West
![](http://www.yclsakhon.com/images/sub_1343112522/Slide7(2).jpg)
การวางแนวทิศทั้งสี่จาก shadow plot
![](http://www.yclsakhon.com/images/sub_1343112522/Slide1(2).jpeg)
![](http://www.yclsakhon.com/images/sub_1343112522/Slide8(1).jpg)
การทำ shadow plot ทั้งสองครั้งที่ปราสาทภูเพ็กได้ผลตรงกัน
![](http://www.yclsakhon.com/images/sub_1343112522/Slide9.jpg)
เชื่อว่าการวางแนวตัวปราสาทให้ตรงกับ alignment East - West น่าจะมาจากการทำ shadow plot
![](http://www.yclsakhon.com/images/sub_1343112522/Slide17.jpg)
แนวกำแพงของปราสาทภูเพ็กซึ่งได้จากผลของการทำ Shadow Plot
![](http://www.yclsakhon.com/images/sub_1343112522/Slide15.jpg)
แนวกำแพงด้านทิศตะวันตกเรียงตัวในพิกัด North - South
![](http://www.yclsakhon.com/images/sub_1343112522/Slide16.jpg)
แนวกำแพงด้าทิศตะวันตกที่เพิ่งก่อได้นิดเดียวแต่ผู้รับเหมาทิ้งงานไปเสียก่อน
![](http://www.yclsakhon.com/images/sub_1343112522/Slide06.jpg)
ได้ใช้วิธีเดียวกันนี้กับการออกแบบก่อสร้างอาคารที่วัดคำประมงซึ่งเป็นอโรคยาศาลรักษาผู้ป่วยโรคมะเร็ง อำเภอพรรณานิคม สกลนคร
![](http://www.yclsakhon.com/images/sub_1343112522/Slide07.jpg)
ดึงเชือกตามแนว East - West ให้ได้เส้นตรง
![](http://www.yclsakhon.com/images/sub_1343112522/Slide08.jpg)
เมื่อถึงวัน "วิษุวัต" (equinox) ลองทดสอบเล็งตำแหน่งดวงอาทิตย์ขึ้นและตกเพื่อยืนยันความถูกต้องของแนว East - West
![](http://www.yclsakhon.com/images/sub_1343112522/Slide14.jpg)
เชื่อว่าการก่อสร้างแนวกำแพงและคูน้ำของปราสาทขอมอื่นๆก็ใช้วิธีเดียวกันนี้
![](http://www.yclsakhon.com/images/sub_1343112522/Slide1(3).jpg)
วิธีนี้ช่วยให้การวางแปลนตัวปราสาทตรงกับทิศทั้งสี่อย่างแม่นยำ โดยประตูปราสาทด้านทิศตะวันออกจะตรงกับตำแหน่งดวงอาทิตย์ในปรากฏการณ์ "วสันตวิษุวัต" กลางวันเท่ากับกลางคืน ดวงอาทิตย์ขึ้นที่ทิศตะวันออกแท้ และตกที่ทิศตะวันตกแท้ (Vernal equinox 21 มีนาคม และ Autumnal equinox 23 กันยายน)
![](http://www.yclsakhon.com/images/sub_1343112522/Slide2(3).jpg)
![](http://www.yclsakhon.com/images/sub_1343112522/Slide3.jpeg)
![](http://www.yclsakhon.com/images/sub_1343112522/Slide3(1).jpg)
ภาพบนดวงอาทิตย์ขึ้นที่ทิศตะวันออกแท้ตรงกับกึ่งกลางประตูปราสาท และภาพล่างดวงอาทิตย์ตกที่ทิศตะวันตกแท้กึ่งกลางผนังของห้องปรางค์ (ห้องครรภคฤหะ) ทั้งสองภาพถ่ายในวัน "วสันตวิษุวัต" ปี 2554
![](http://www.yclsakhon.com/images/sub_1343112522/sunset.jpg)
![](http://www.yclsakhon.com/images/sub_1343112522/sunset.jpg)
![](http://www.yclsakhon.com/images/sub_1343112522/Slide5.jpeg)
ใช้เชือกโยงระหว่ารอยขีดกลางธรณีประตูด้านทิศตะวันออกไปยังรอยขีดที่กำแพงด้านทิศตะวันตก เป็นเส้นตรง E - W
![](http://www.yclsakhon.com/images/sub_1343112522/a(1).jpg)
รอยขีดที่ธรณีประตู ตรงกับรอยขีดที่ผนังด้านทิศตะวันตก เป็นตำแหน่งดวงอาทิตย์ขึ้นและตกในวัน "วิษุวัต"
![](http://www.yclsakhon.com/images/sub_1343112522/b(1).jpg)
![](http://www.yclsakhon.com/images/sub_1343112522/b%281%29.jpg)
![](http://www.yclsakhon.com/images/sub_1343112522/Slide1(4).jpg)
![](http://www.yclsakhon.com/images/sub_1343112522/Slide1%284%29.jpg)
ถ้าปราสาทภูเพ็กสร้างเสร็จตามโครงการ ดวงอาทิตย์ยามเช้าของปรากฏการณ์ "วสันตวิษุวัต" (21 มีนาคม) จะตรงกับกึ่งกลางประตูพอดี
GPS แสดงทิศตะวันออกแท้ (due east) หรือ วิษุวัต (equinox) มุมกวาด Azimuth 90 องศา ที่ธรณีประตูทิศตะวันออก
![](http://www.yclsakhon.com/images/sub_1343112522/Slide3(12).jpg)
GPS ยืนยันว่ารอยขีดที่พื้นและผนังประตูทิศเหนือ รวมทั้งท่อโสมสูตร ชี้ไปที่ "ทิศเหนือแท้" (True North) หรือ Azimuth 0.00 องศา
![](http://www.yclsakhon.com/images/sub_1343112522/Slide4(8).jpg)
รอยขีดที่พื้นหินหน้าประตูหลอกด้านทิศใต้ แสดง GPS 180 องศา
![](http://www.yclsakhon.com/images/sub_1343112522/Slide5(4).jpg)
เงาดวงอาทิตย์อัสดง (sunset) ในปรากฏการณ์ vernal equinox ชี้ตรงกับรอยขีดที่ผนังประตูทิศตะวันตก
![](http://www.yclsakhon.com/images/sub_1343112522/Slide6(4).jpg)
ใช้เงาของไม้เป็นตัวชี้ว่า sunset ตรงกับรอยขีดแสดงทิศตะวันตกแท้ (due west) ที่ผนังประตู
![](http://www.yclsakhon.com/images/sub_1343112522/Calendar.jpg)
![](http://www.yclsakhon.com/images/sub_1343112522/Calendar(1).jpg)
![](http://www.yclsakhon.com/images/sub_1343112522/Calendar%281%29.jpg)
ดูจากฐานแปลนของตัวปราสาทจะเห็นว่ามีช่องหน้าต่างให้แสงอาทิตย์ส่องเข้ามาในราศีต่างๆตามปฎิทินมหาศักราช
![](http://www.yclsakhon.com/images/sub_1343112522/Saka Calendar.jpg)
![](http://www.yclsakhon.com/images/sub_1343112522/Saka%20Calendar.jpg)
ปฏิทินมหาศักราชต้นแบบของการก่อสร้างปราสาทภูเพ็ก ให้ตรงกับดวงอาทิตย์ในช่วงเวลาของราศีที่เป็นเดือนต่างๆ
การขยายผลเทคโนโลยีขอมพันปีไปยังการวางแปลนก่อสร้างอโรคยาศาล วัดคำประมง สกลนคร
วิธีเดียวกันนี้ได้ทำ shadow plot เพื่อกำหนดแนวทิศตะวันออกแท้ให้แก่แปลนก่อสร้างสถาบันญาณสิทธิธรรมโอสถบำบัด ในบริเวณอโรคยาศาล วัดคำประมง อ.พรรณานิคม สกลนคร ซึ่งเป็นสถานที่รักษาผู้ป่วยโรคมะเร็งดำเนินการโดยท่านหลวงตาวัลลภ ในการนี้หลวงตามีความประสงค์จะให้ตัวอาคารดังกล่าวจำลองปรากฏการณ์ "วสันตวิษุวัต" ของปราสาทภูเพ็ก โดยให้แสงอาทิตย์ยามเช้าของวันดังกล่าวส่องตรงเข้ามายังองค์พระนาครัตนโพธิสักกมหาธาตุ
![](http://www.yclsakhon.com/images/sub_1343112522/Slide8.jpg)
![](http://www.yclsakhon.com/images/sub_1343112522/Slide7.jpg)
![](http://www.yclsakhon.com/images/sub_1343112522/Slide7.jpg)
![](http://www.yclsakhon.com/images/sub_1343112522/Slide2(4).jpg)
![](http://www.yclsakhon.com/images/sub_1343112522/Slide2%284%29.jpg)
เริ่มทำ shadow plot ตั้งแต่เช้าวันที่ 30 พฤศจิกายน 2548 โดยให้คุณประสาท ตงศิริ ที่ปรึกษาอาวุโสของหอการค้าจังหวัดสกลนครเป็นผู้บันทึกข้อมูล และหลวงตาวัลลภนั่งกางร่มให้กำลังใจอยู่ข้างหลัง ส่วนอุปกรณ์ที่ใช้ได้รับความอนุเคราะห์จากคุณหมอศิริโรจน์ กิตติสารพงศ์ ซึ่งเป็นแพทย์อาสาสมัครดูแลผู้ป่วยในอโรคยาศาล
![](http://www.yclsakhon.com/images/sub_1343112522/Slide3(2).jpg)
ได้ curve เงาดวงอาทิตย์สวยงามพร้อมกับแนวทิศตะวันออกแท้
![](http://www.yclsakhon.com/images/sub_1343112522/Slide4(1).jpg)
![](http://www.yclsakhon.com/images/sub_1343112522/Slide4%281%29.jpg)
วันที่ 23 กันยายน 2549 ตรงกับปรากฏการณ์ "ศารทวิษุวัต" (Autumnal equinox) ดวงอาทิตย์ขึ้นที่ทิศตะวันออกแท้ และตกที่ทิศตะวันตก แท้ หลวงตาวัลลภท่านขอตรวจสอบความถูกต้องโดยใช้วิธี "เชิงประจักษ์"
![](http://www.yclsakhon.com/images/sub_1343112522/Slide5.jpg)
หลวงตาวัลลภยืนถ่ายภาพการยืนยันความถูกต้องของแนวทิศตะวันออกแท้ของแปลนก่อสร้าง เมื่อวันที่ 23 กันยายน 2549
![](http://www.yclsakhon.com/images/sub_1343112522/Slide6.jpg)
![](http://www.yclsakhon.com/images/sub_1343112522/Slide6.jpg)
เมื่อวันที่ 21 ธันวาคม 2550 ได้ไปร่วมพิธีตอกเสาเข็มอาคารดังกล่าว (ขณะนั้นเป็นเกษตรและสหกรณ์จังหวัดสกลนคร)
![](http://www.yclsakhon.com/images/sub_1343112522/Slide09.jpg)
ได้รับเชิญให้เป็นวิทยากรที่องค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ (อพวช.) ในการอบรมครูคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ หลักสูตร "ปฏิบัติการอีราโต้สทีเนส" วัดโลกทั้งใบด้วยไม้แท่งเดียว ก็ใช้วิธี Shadow Plot เป็นส่วนหนึ่งของการอบรม
![](http://www.yclsakhon.com/images/sub_1343112522/Slide10(1).jpg)
ผู้เข้าอบรมได้ฝึกปฏิบัติจริงในการทำ Shadow Plot
![](http://www.yclsakhon.com/images/sub_1343112522/Slide11.jpg)
อุปกรณ์ที่ใช้ในการอบรมฝึกปฏิบัติ Shadow Plot ที่องค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ
![](http://www.yclsakhon.com/images/sub_1343112522/Slide12.jpg)
ผู้เข้าอบรมฝึกทำนาฬิกาแดดซึ่งจะวางให้ตรงกับตำแหน่ง Geographic North ที่หาได้จากการทำ Shadow Plot
การวางฐานรากตัวปราสาท
เป็นที่ทราบดีว่าปราสาทหลังนี้สร้างด้วยหินทรายล้วนๆมีน้ำหนักมากจึงจำเป็นต้องวางฐานรากให้มั่นคง จากการสังเกตบริเวณขอบที่พื้นดินผมเห็นหินวางยื่นออกมาเหมือนฐานแผ่ (ดูภาพ) ทำให้เชื่อได้ว่าสิ่งนี้คือฐานรากที่อยู่ใต้ดินเพื่อรองรับน้ำหนักลักษณะเดียวกับการเทคอนกรีตเป็นฐานแผ่รองรับเสาของบ้านในปัจจุบัน พวกเขาน่าจะเริ่มต้นด้วยการเคลียร์พื้นที่และขุดลงไปในดินจนถึงระดับที่เป็นดินแน่นหรือเจอชั้นหิน ทำการปรับหน้าดินให้ราบเรียบด้วยสายตา และใช้อุปกรณ์ท่อไม้บรรจุน้ำ (ดังภาพ) ทำหน้าที่เหมือนสายยางตรวจสอบแนวระดับ
การตรวจสอบแนวระนาบ
สามารถทำได้ 2 วิธี
วิธีที่ 1
สมัยนั้นยังไม่มีสายยางจับระดับน้ำ แต่ก็สามารถผลิตอุปกรณ์ง่ายๆเป็นกระบอกบรรจุน้ำใช้งานได้อย่างดีโดยดูจากระดับน้ำที่ปลายท่อสองข้างต้องเท่ากัน
![](http://www.yclsakhon.com/images/sub_1343112522/Slide7.jpeg)
![](http://www.yclsakhon.com/images/sub_1343112522/Slide7(1).jpeg)
![](http://www.yclsakhon.com/images/sub_1343112522/Slide7(2).jpeg)
อุปกรณ์ทำด้วยกระบอกไม้บรรจุน้ำใช้จับระดับ
![](http://www.yclsakhon.com/images/sub_1343112522/Slide8.jpeg)
ขุดหน้าดินลงไปจนถึงชั้นดินดานที่แข็ง
![](http://www.yclsakhon.com/images/sub_1343112522/Slide9.jpeg)
ใช้อุปกรณ์จับระดับ
![](http://www.yclsakhon.com/images/sub_1343112522/Slide10.jpeg)
![](http://www.yclsakhon.com/images/sub_1343112522/Slide10(1).jpeg)
![](http://www.yclsakhon.com/images/sub_1343112522/Slide10(2).jpeg)
![](http://www.yclsakhon.com/images/sub_1343112522/Slide10(3).jpeg)
วางก้อนหินชั้นแรกและจับระดับ
![](http://www.yclsakhon.com/images/sub_1343112522/Slide13.jpeg)
วางก้อนหินซ้อนขึ้นไปเรื่อยๆตามที่ต้องการพร้อมกับการจับระดับ
![](http://www.yclsakhon.com/images/sub_1343112522/Slide15.jpeg)
![](http://www.yclsakhon.com/images/sub_1343112522/Slide14.jpeg)
ได้ฐานรากที่แข็งแรงและได้ระดับ
![](http://www.yclsakhon.com/images/sub_1343112522/Slide15(1).jpeg)
สร้างตัวปราสาทบนฐานรากพร้อมกับการจับระดับน้ำเพื่อให้มั่นใจว่าถูกต้องกับแนวระนาบ
วิธีที่ 2 ใช้ลูกดิ่งและจับฉาก ตามทฤษฎีเรขาคณิตบทที่หนึ่ง ...... เส้นตรงเส้นหนึ่งตั้งอยู่บนเส้นตรงอีกเส้นหนึ่ง มุมประชิดรวมกันเท่ากับสองมุมฉาก
Step 1 ขุดเปิดหน้าดินลงไปจนถึงดินแข็งและปรับแต่งให้ราบเรียบด้วยสายตา
Step 2 ใช้ลูกดิ่ง และเชือกขึงระหว่างเสาสองต้น เอาไม้ฉากตรวจสอบว่าได้ระดับ "มุมฉากหรือไม่" ถ้ายังไม่ใช่ก็ต้องขยับเชือกข้างใดข้างหนึ่ง
![](http://www.yclsakhon.com/images/sub_1343112522/Slide74.jpeg)
เมื่อขยับเชือกจน "ได้ฉาก" ทั้งสองข้างแล้วแสดงว่าได้ระดับถูกต้อง
![](http://www.yclsakhon.com/images/sub_1343112522/Slide62.jpeg)
การทดสอบจับระดับแนวระนาบโดยใช้เชือกและวัตถุถ่วงน้ำหนัก
![](http://www.yclsakhon.com/images/sub_1343112522/Slide63.jpeg)
ทดสอบกับปราสาทขอมที่บ้านปรางค์ ตำบลบ้านปรางค์ อำเภอคง นครราชสีมา
![](http://www.yclsakhon.com/images/sub_1343112522/Slide75.jpeg)
วางก้อนหินให้ตรงกับแนวระดับ
![](http://www.yclsakhon.com/images/sub_1343112522/Slide76.jpeg)
วิธีนี้สามารถทำได้ระยะทางยาวตามต้องการแต่ต้องตรวจสอบทุกจุดให้แน่ใจว่า "ตั้งฉาก"
![](http://www.yclsakhon.com/images/sub_1343112522/Slide1(5).jpg)
![](http://www.yclsakhon.com/images/sub_1343112522/Slide3(3).jpg)
แสดงฐานแผ่ส่วนที่โผล่เหนือดิน ขนาดกาลเวลาผ่านไปนานเกือบพันปีตัวปราสาทยังตั้งอยู่อย่างมั่นคงไม่มีวี่แววว่าจะทรุดตัว เป็นเครื่องยืนยันได้ว่าฐานรากต้องมั่นคงชนิดชัวร์ร้อยเปอร์เซ็นต์ ถ้าพูดตามภาษาราชการปัจจุบัน สตง. หรือ ปปช. ชิดซ้ายไปเลยโครงการนี้ไม่มีนอกไม่มีในทุกอย่างแข็งแรงมั่นคง
![](http://www.yclsakhon.com/images/sub_1343112522/a.jpg)
![](http://www.yclsakhon.com/images/sub_1343112522/a.jpg)
![](http://www.yclsakhon.com/images/sub_1343112522/b.jpg)
กาลเวลาผ่านนับพันปีปราสาทหลังนี้ก็ยังมีรูปทรงมั่นคง ไม่มีร่องรอยของการทรุดตัวให้เห็นแม้แต่น้อยแสดงว่าฐานรากมีความแข็งแรงอย่างยิ่ง
การตรวจสอบแนวดิ่ง
วิธีนี้ทำได้ง่ายด้วยเชือกกับลูกดิ่ง
![](http://www.yclsakhon.com/images/sub_1343112522/d.jpg)
![](http://www.yclsakhon.com/images/sub_1343112522/d.jpg)
![](http://www.yclsakhon.com/images/sub_1343112522/e.jpg)
![](http://www.yclsakhon.com/images/sub_1343112522/e.jpg)
![](http://www.yclsakhon.com/images/sub_1343112522/Slide1(18).jpg)
ระดับน้ำยืนยันว่าฐานรากของปราสาทยังคงได้ระนาบกับพื้นโลก
![](http://www.yclsakhon.com/images/sub_1343112522/Slide2(16).jpg)
ลูกดิ่งแสดงว่าตัวปราสาทยังคงตั้งฉากกับพื้นโลก
![](http://www.yclsakhon.com/images/sub_1343112522/Slide3(13).jpg)
ลูกดิ่งยืนยัน Vertical Line แสดงว่าตัวปราสาทยังคงเสถียรเหมือนพันปีที่แล้ว
วิธีการทำให้ผนังตัวปราสาทมีความแข็งแรง
นี่ถ้าผู้ออกแบบชาวขอมโบราณผู้สร้างปราสาทภูเพ็กฟื้นขึ้นมาได้จะทำเรื่องขออนุมัติให้สภามหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนครเสนอปริญญาดุษฏีบัณฑิตกิตติมศักดิ์สาขาฟิสิกส์ เพราะดูแล้วพวกเขาใช้ความรู้วิชาฟิสิกส์ขั้นเทพ ลองมาดูกันชัดๆครับว่ามีรายละเอียดอะไรบ้าง
การยึดหินในส่วนที่อยู่ด้านนอกของผนัง
ใช้วิธีเข้าเดือยโดยบากที่ขอบก้อนหินเป็นรูปตัวที และใช้โลหะทำเป็นสลักยึดหินสองก้อนเข้าหากันเพื่อให้เกิดความแข็งแรงและป้องกันการหลุดหล่น
![](http://www.yclsakhon.com/images/sub_1343112522/Slide4(3).jpg)
![](http://www.yclsakhon.com/images/sub_1343112522/Slide4%283%29.jpg)
เห็นก้อนหินที่ตัดเป็นรูปสี่เหลี่ยมจำนวนมากวางระเกะระกะอยู่ข้างตัวปราสาท แต่ยังไม่ได้ยกขึ้นไปประกอบ เมื่อพิจารณาจะเห็นวิธการเข้าเดือยเป็นรูปตัวทีเพื่อยึดให้หินสองก้อนติดกันอย่างแน่นหนา
![](http://www.yclsakhon.com/images/sub_1343112522/Slide1(11).jpg)
![](http://www.yclsakhon.com/images/sub_1343112522/Slide1(12).jpg)
จากหลักฐานที่พบทำให้ทราบว่าการเข้าเดือยเพื่อยึดหินจะทำในส่วนที่เป็นโครงสร้างที่อยู่ตามรอยขอบ ดังตัวอย่างในภาพนี้
![](http://www.yclsakhon.com/images/sub_1343112522/Slide2(9).jpg)
หินสองก้อนนี้อยู่ตรงขอบข้างบน ตอนก่อสร้างคงวางติดกันแต่ด้วยกาลเวลาจึงแยกออกดังที่เห็น
![](http://www.yclsakhon.com/images/sub_1343112522/Slide3(7).jpg)
การเข้าเดือยระหว่างหินสองก้อนโดยใช้แผ่นโลหะเป็นรูปตัวที แต่แผ่นโลหะสูญหายไปแล้ว หรือว่ายังไม่ทันได้ใส่ก็ต้องทิ้งงานเสียก่อน
![](http://www.yclsakhon.com/images/sub_1343112522/Slide3(16).jpg)
แท่งโลหะสำหรับยึดหินให้ติดกัน
![](http://www.yclsakhon.com/images/sub_1343112522/Slide2(19).jpg)
แท่งโลหะรูปตัว I-shape พบที่ปราสาทเมืองสิงห์ จ.กาญจนบุรี ภาพและข้อมูลจากจาก ดร.ตุ้ม Chatchawas Ktipipatphon ขอบคุณมากครับ
![](http://www.yclsakhon.com/images/sub_1343112522/Slide6(1).jpg)
![](http://www.yclsakhon.com/images/sub_1343112522/Slide6%281%29.jpg)
ตัวอย่างที่ปราสาทตาพรม เมืองเสียมราช ประเทศกัมพูชา (แต่แผ่นโลหะที่ใช้ยึดหลุดหายไปแล้ว)
![](http://www.yclsakhon.com/images/sub_1343112522/Slide5(1).jpg)
![](http://www.yclsakhon.com/images/sub_1343112522/Slide1(6).jpg)
เทคโนโลยีวิธีการยึดหินแบบนี้เกิดขึ้นนับพันปีแล้ว ไม่ทราบว่าพวกเขาถ่ายทอดความรู้กันอย่างไร ดังตัวอย่างที่โบราณสถานชื่อ Puma Punku ที่ประเทศโบลิเวีย
การตอกลิ่มเพื่อให้เกิดแรงดันด้านข้าง (Side stress) และการเข้ารูปที่จุดเชื่อมต่อตามหลักวิชาฟิสิกส์ วิธีตอกลิ่มเป็นการเพิ่มแรงดันตามสูตรของท่าน "อาร์คีมิดีส" ทำให้เกิดการเบียดตัวออกด้านข้างภาษาวิศวกรรมเรียกว่า Side stress ทำให้ผนังส่วนนี้มีความแน่น
![](http://www.yclsakhon.com/images/sub_1343112522/Slide1(8).jpg)
![](http://www.yclsakhon.com/images/sub_1343112522/Slide1%288%29.jpg)
![](http://www.yclsakhon.com/images/sub_1343112522/Slide2(6).jpg)
![](http://www.yclsakhon.com/images/sub_1343112522/Slide2(5).jpg)
![](http://www.yclsakhon.com/images/sub_1343112522/Slide2%285%29.jpg)
![](http://www.yclsakhon.com/images/sub_1343112522/Slide2(7).jpg)
![](http://www.yclsakhon.com/images/sub_1343112522/Slide2%287%29.jpg)
![](http://www.yclsakhon.com/images/sub_1343112522/Slide3(5).jpg)
![](http://www.yclsakhon.com/images/sub_1343112522/Slide3%285%29.jpg)
![](http://www.yclsakhon.com/images/sub_1343112522/Slide1(9).jpg)
![](http://www.yclsakhon.com/images/sub_1343112522/Slide3(6).jpg)
![](http://www.yclsakhon.com/images/sub_1343112522/Slide3%286%29.jpg)
เป็นการตอกสลักเพื่อให้เกิดแรงดันบนและล่างในแนวตั้ง (vertical stress)
![](http://www.yclsakhon.com/images/sub_1343112522/Slide4(4).jpg)
การเข้ารูปหินก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่ทำให้มีการจับตัวกันอย่างแข็งแรง
![](http://www.yclsakhon.com/images/sub_1343112522/Slide1(10).jpg)
![](http://www.yclsakhon.com/images/sub_1343112522/Slide1%2810%29.jpg)
![](http://www.yclsakhon.com/images/sub_1343112522/Slide2(8).jpg)
![](http://www.yclsakhon.com/images/sub_1343112522/Slide2%288%29.jpg)
การวางเสาประตูใช้วิธีสลักหินให้เป็นรูปสามเหลี่ยมประกบกันเพื่อให้เกิดหน้าสัมผัสที่มากขึ้นและเป็นการกระจายแรงออกไปด้านข้าง
การแกะสลักลวดรายต่างๆบนผนังปราสาท
การที่ปราสาทภูเพ็กสร้างไม่เสร็จและถูกทิ้งร้างโดยไม่มีการแกะสลักลวดลายแม้แต่ชิ้นเดียว เป็นหลักฐานที่ทำให้เห็นชัดว่าปราสาทขอมสร้างโดยใช้หินทรายมาก่อเรียงตัวเป็นรูปปราสาทให้เรียบร้อยก่อน และค่อยแกะสลักลวดลายต่างๆภายหลังโดยมีการออกแบบขนาดและรูปร่างของก้อนหินให้สอดคล้องกับรูปที่จะแกะสลัก
ปราสาทภูเพ็กสร้างไม่เสร็จและถูกทิ้งร้างจึงไม่มีลวดลายอะไรให้เห็นแม้แต่ชิ้นเดียว
![](http://www.yclsakhon.com/images/sub_1343112522/Slide2(10).jpg)
![](http://www.yclsakhon.com/images/sub_1343112522/Slide2(11).jpg)
![](http://www.yclsakhon.com/images/sub_1343112522/Slide1(13).jpg)
![](http://www.yclsakhon.com/images/sub_1343112522/Slide3(8).jpg)
![](http://www.yclsakhon.com/images/sub_1343112522/Slide3%288%29.jpg)
![](http://www.yclsakhon.com/images/sub_1343112522/Slide4(5).jpg)
![](http://www.yclsakhon.com/images/sub_1343112522/Slide4%285%29.jpg)
แสดงวิธีการแกะสลักลวดลายบนผนังปราสาทขอม
![](http://www.yclsakhon.com/images/sub_1343112522/Slide5(2).jpg)
เปรียบเทียบระหว่างประตูหลอกของปราสาทนารายณ์เจงเวงที่มีการสลักลวดลาย กับประตูหลอกของปราสาทภูเพ็กที่ยังไม่ได้สลักอะไร
![](http://www.yclsakhon.com/images/sub_1343112522/Slide6(2).jpg)
ก่อกำแพงรอบตัวปราสาท
พบว่าได้มีการเริ่มก่อกำแพงด้านทิศตะวันตก แต่ทำได้เพียงฐานรากและทิ้งงานไปเสียก่อน
![](http://www.yclsakhon.com/images/sub_1343112522/Slide1(14).jpg)
![](http://www.yclsakhon.com/images/sub_1343112522/Slide2(13).jpg)
ซุ้มประตูทางขึ้นตัวปราสาท
พบว่าตรงบันไดขั้นสุดท้ายมีร่องรอยการสลักหินเหมือนกับเตรียมที่จะติดตั้งซุ้มประตู ผมจึงจินตาการโดยใช้ซุ้มประตูของปราสาทพระวิหารเป็นต้นแบบ คาดว่าน่าจะเป็นรูปพญานาค (ดูภาพประกอบ) ผิดถูกอย่างไรคงต้องกลับชาติไปพิสูจน์หรือให้ผู้ที่มีพลังทางจิตเข้าทรงดูว่าคิดถูกหรือไม่
![](http://www.yclsakhon.com/images/sub_1343112522/Slide1(15).jpg)
พบว่าที่แท่นหินตรงบันไดขั้นสุดท้ายมีรอยสลักเป็นมุมฉาก เหมือนจะต้องมีอะไรมาตั้งใส่ตรงนี้
![](http://www.yclsakhon.com/images/sub_1343112522/Slide2(14).jpg)
![](http://www.yclsakhon.com/images/sub_1343112522/Slide2%2814%29.jpg)
จินตนาการว่าน่าจะเป็นเศียรพญานาค โดยเอาตัวอย่างจากปราสาทพระวิหาร
![](http://www.yclsakhon.com/images/sub_1343112522/Slide3(10).jpg)
![](http://www.yclsakhon.com/images/sub_1343112522/Slide3%2810%29.jpg)
ทางขึ้นด้านล่างก็มีกองหินเป็นบริเวณกว้าง อาจจะเป็นอีกจุดหนึ่งที่มีเศียรพญานาคเป็นซุ้มประตู
![](http://www.yclsakhon.com/images/sub_1343112522/Slide4(6).jpg)
ซุ้มประตูของปราสาทพระวิหาร
บันไดทางเดินขึ้นตัวปราสาท
เป็นสไตล์ของปราสาทขอมที่ต้องมีทางเดินขึ้นในทิศที่ตรงกับหน้าปราสาท ในกรณีของปราสาทภูเพ็กถูกออกแบบให้หันหน้าเข้าหาทิศตะวันออกแท้ บันไดทางขึ้นจึงต้องอยู่ทางทิศตะวันออกเช่นกัน โดยมีความยาวประมาณ 500 เมตร เริ่มต้นที่ระดับความสูง +383 เมตร จากระดับน้ำทะเล และสิ้นสุดที่ระดับความสูง +520 เมตร จากระดับน้ำทะเล จากสภาพที่เห็นในปัจจุบันยืนยันชัดเจนว่า "ยังก่อสร้างไม่เสร็จ"
![](http://www.yclsakhon.com/images/sub_1343112522/Slide1(16).jpg)
![](http://www.yclsakhon.com/images/sub_1343112522/Slide4(11).jpg)
![](http://www.yclsakhon.com/images/sub_1343112522/Slide2(15).jpg)
![](http://www.yclsakhon.com/images/sub_1343112522/Slide3(11).jpg)
![](http://www.yclsakhon.com/images/sub_1343112522/Slide3%2811%29.jpg)
![](http://www.yclsakhon.com/images/sub_1343112522/Slide4(7).jpg)
เทคนิคการสร้างขั้นบันไดมีทั้งวิธีตัดก้อนหินเป็นชิ้นๆแล้วนำมาวางเรียงกัน และสลักขั้นบันไดลงบนหินก้อนใหญ่
![](http://www.yclsakhon.com/images/sub_1343112522/Slide5(3).jpg)
หินก้อนใหญ่บางก้อนก็เพิ่งสลักได้นิดเดียว
![](http://www.yclsakhon.com/images/sub_1343112522/Slide7(1).jpg)
บันไดขั้นสุดท้ายเป็นหินก้อนขนาดใหญ่ ก็มีร่องรอยสกัดได้นิดเดียว
![](http://www.yclsakhon.com/images/sub_1343112522/Slide6(3).jpg)
![](http://www.yclsakhon.com/images/sub_1343112522/Slide6%283%29.jpg)
เปรียบเทียบระหว่างบันไดขอม (ซ้ายมือ) กับบันไดปัจจุบัน (ขวามือ)
เทคนิคการวางก้อนหินเป็นขั้นบันไดในพื้นที่ลาดชัน
![](http://www.yclsakhon.com/images/sub_1343112522/Slide10(5).jpeg)
![](http://www.yclsakhon.com/images/sub_1343112522/Slide11.jpeg)
เทคนิคการวางก้อนหินเพื่อสร้างขั้นบันไดขึ้นสู่ที่ลาดชั้น ต้องวางก้อนหินให้มีมุมเงยจากแนวระนาบ
![](http://www.yclsakhon.com/images/sub_1343112522/Slide12.jpeg)
กาลเวลาผ่านไปนับพันปีขั้นบันไดก็ยังอยู่ในสภาพดี
![](http://www.yclsakhon.com/images/sub_1343112522/Slide13(1).jpeg)
การวางก้อนหินเป็นขั้นบันไดโดยเอียงเป็นมุมเงยเล็กน้อยจากแนวระนาบทำให้ง่ายต่อการปีนขึ้นพื้นที่พื้นที่ลาดเท
![](http://www.yclsakhon.com/images/sub_1343112522/Slide14(1).jpeg)
ทฤษฏีการแตกแรงออกไปด้านข้างตามหลักการของท่านอาร์คีมีดีสเพื่อให้ขั้นบันไดมีความมั่นคงไม่จมลงในดิน
ถ้าก่อสร้างได้เสร็จตามโครงการ ....... ปราสาทหลังนี้จะมีรูปร่างหน้าตาอย่างไร ?
ประเด็นนี้ยังคงเป็นปริศนาที่ไม่มีใครฟันธง จึงต้องใช้จินตนาการเอาเองผิดถูกอย่างไรก็ต้องกลับชาติไปพิสูจน์กันเอาเองละคราบ แต่ดูจากฐานรากของ Main Chamber พบว่าเป็นรูปสี่เหลี่ยมกว้างและยาว 552 ซม หรือ 5.52 เมตร ใหญ่กว่าปราสาทพิมายซึ่งมีขนาดของห้อง 437 ซม (552 - 437 = 115 ซม) ดังนั้นถ้าสร้างเสร็จจริงๆยอดปราสาทภูเพ็กก็ต้องสูงกว่าของปราสาทพิมาย
![](http://www.yclsakhon.com/images/sub_1343112522/Slide1(19).jpg)
ปราสาทภูเพ็กถูกทิ้งงานไว้เพียงครึ่งเดียวและไม่มีใครสานต่อให้แล้วเสร็จ .... เป็นที่มาของตำนาน "อรดีมายา" ผู้หญิงชนะผู้ชายในการแข่งขันสร้างปราสาทเพื่อให้ได้พระอุรังธาตุไปประดิษฐาน
![](http://www.yclsakhon.com/images/sub_1343112522/Slide1(20).jpg)
จินตนาการเอาเองว่าถ้าสร้างเสร็จจะสวยงามแบบนี้ ..... ผิดถูกอย่างไรขอให้ท่านผู้ชมตัดสินเอาเองนะคราบ
![](http://www.yclsakhon.com/images/sub_1343112522/Slide1(22).jpg)
หรือว่าเป็นแบบนี้ ?
![](http://www.yclsakhon.com/images/sub_1343112522/Slide022.jpg)
![](http://www.yclsakhon.com/images/sub_1343112522/Slide024.jpg)
โปรโมทการท่องเที่ยวด้วย Selfie
![](http://www.yclsakhon.com/images/sub_1343112522/Slide3(14).jpg)
จินตนาการโคปุระและตัวปราสาทอาจจะเป็นแบบนี้ก็ได้
![](http://www.yclsakhon.com/images/sub_1343112522/Slide4(9).jpg)
ทางเดินขึ้นและซุ้มประตูอาจจะมีหน้าตาแบบนี้
![](http://www.yclsakhon.com/images/sub_1343112522/Slide9(3).jpeg)
![](http://www.yclsakhon.com/images/sub_1343112522/Slide10(4).jpeg)
ทางเดินขึ้นปราสาทภูเพ็กยาวทั้งสิ้นประมาณ 500 เมตร
![](http://www.yclsakhon.com/images/sub_1343112522/Slide3(20).jpg)
การวัดระยะทางของทางเดินขึ้นปราสาทภูเพ็ก
![](http://www.yclsakhon.com/images/sub_1343112522/Slide5(5).jpg)
ขนาดของห้อง Main Chamber ปราสาทภูเพ็ก 552 Cm x 552 Cm
![](http://www.yclsakhon.com/images/sub_1343112522/อจ_จำนงค์ วัดขนาดห้องวิมานพิมาย.jpg)
ขนาดของห้อง Main Chamber ปราสาทพิมาย 437 Cm x 437 Cm ยืนยันโดย อจ.จำนงค์ แพงเพ็ง ผู้ทรงคุณวุฒิของ อ.พิมาย
![](http://www.yclsakhon.com/images/sub_1343112522/Slide5(7).jpg)
การวัดขนาดห้อง main chamber ของปราสาทพิมายโดยคณะเจ้าหน้าที่อุทยานประวัติศาสตร์พิมาย
![](http://www.yclsakhon.com/images/sub_1343112522/Slide6(5).jpg)
ข้อมูลขนาดของปราสาทพนมรุ้งจัดให้โดยหัวหน้าอุทยานประวัติศาสตร์พนมรุ้ง คุณพิมพ์นารา กิจโชติประเสริฐ เมื่อคราวที่ไปร่วมบรรยายพิเศษเมื่อวันที่ 9 กันยายน 2561
นักศึกษาจากมหาวิทยาลัยมหาสารคามกำลังวัดขนาดห้อง main chamber ปราสาทภูเพ็ก ได้ตัวเลข 5.52 m x 5.52 m
![](http://www.yclsakhon.com/images/sub_1343112522/Slide2(23).jpg)
![](http://www.yclsakhon.com/images/sub_1343112522/Slide2(25).jpg)
การวัดขนาดห้อง main chamber ของปราสาทภูเพ็ก โดยคณะนักศึกษาปริญาโทมหาวิทยาลัยมหาสารคาม
![](http://www.yclsakhon.com/images/sub_1343112522/Slide19(1).jpeg)
ภาพถ่ายทางอากาศปราสาทภูเพ็กกับขนาดกว้าง 22 เมตร ยาว 40 เมตร
![](http://www.yclsakhon.com/images/sub_1343112522/Slide7(5).jpg)
เปรียบเทียบขนาดระหว่างปราสาทภูเพ็ก ปราสาทพิมาย และปราสาทพนมรุ้ง
![](http://www.yclsakhon.com/images/sub_1343112522/Slide8(5).jpg)
ถ้าปราสาทภูเพ็กสร้างเสร็จอาจจะมีรูปร่างแบบนี้ (จากจิตนาการ) และเป็นปราสาทยุคขอมเรืองอำนาจใหญ่ที่สุดในประเทศไทย
![](http://www.yclsakhon.com/images/sub_1343112522/Slide15(2).jpeg)
เปรียบเทียบปราสาทภูเพ็ก ยาว 40 เมตร กับ ปราสาทพระวิหาร กัมพูชา ยาว 26 เมตร
![](http://www.yclsakhon.com/images/sub_1343112522/Slide25.jpeg)
เปรียบเทียบขนาดความสูงของประตูห้องครรภคฤหะ ปราสาทพระวิหาร 2.20 เมตร กับปราสาทภูเพ็ก 3.65 เมตร
สรุป
เชื่ออย่างจริงๆว่าผู้ออกแบบและควบคุมการก่อสร้างปราสาทภูเพ็ก "ไม่ธรรมดา" พวกเขาใช้ความรู้ทางวิศวกรรมในระดับ "ชั้นเทพ" ทำให้ปราสาทหลังนี้ยืนตากแดดตากฝนร่วมพันปีอย่างไม่สะทกสะท้าน และยังไม่มีวี่แววว่าจะล้มลงมา ผิดกับสิ่งก่อสร้างของเราๆท่านๆในยุคปัจจุบันที่มีข่าวเนืองๆว่าทรุดที่นั่นทรุดที่นี่ จึงมีคำกล่าวที่ค่อนข้างเสียดแทงใจว่า ..........เทคโนโลยีปัจจุบัน ฤา จะเทียบชั้นกับวันวาน
![](http://www.yclsakhon.com/images/sub_1343112522/จุดยืนมองเลือกไซด์ภูเพ็ก.jpg)
![](http://www.yclsakhon.com/images/sub_1343112522/จุดยืนมองเลือกไซด์ภูเพ็ก(1).jpg)
![](http://www.yclsakhon.com/images/sub_1343112522/จุดยืนมองเลือกไซด์ภูเพ็ก(2).jpg)