มุมมองใหม่.....
สะพานขอมเมืองสกล…..อาจไม่ใช่แค่สะพานธรรมดา แต่ทำหน้าที่เป็น“ฝายทดน้ำ”ไปในตัว
น่าสงสัยไม้ครับ.....สะพานขอม “ทำด้วยหิน” มีเพียงแห่งเดียว.......ที่อื่นๆสร้างด้วยไม้และผุพังไปหมดสิ้นตามกาลเวลาเพราะเป็นเพียงสะพานธรรมดา แสดงว่าสิ่งก่อสร้างอันนี้ต้องมีนัยสำคัญที่นอกเหนือจากสะพาน
![](http://www.yclsakhon.com/images/sub_1326649264/ancient Khmer bridge at SNO 12.jpg)
![](http://www.yclsakhon.com/images/sub_1326649264/ancient%20Khmer%20bridge%20at%20SNO%2012.jpg)
สะพานขอมในสภาพปัจจุบันหลังจากได้รับการบูรณะ
![](http://www.yclsakhon.com/images/sub_1326649264/aerial 1.jpg)
ความเจริญทางวัตถุทำให้สพานขอมถูกเบียดบังด้วยถนนหลวงแผ่นดินที่ขยายเป็นสี่เลนหน้าประตูเมืองสกลนคร
![](http://www.yclsakhon.com/images/sub_1326649264/aerial 2.jpg)
![](http://www.yclsakhon.com/images/sub_1326649264/aerial%202.jpg)
ภาพถ่ายดาวเทียว "สะพานขอม" ฝังตัวอยู่ในระดับต่ำระหว่างถนนทางเข้าเมืองสกลนคร
![](http://www.yclsakhon.com/images/sub_1326649264/Slide1.jpeg)
เปรียบเทียบภาพถ่ายตัวเมืองสกลนคร ปี 2489 กับภาพถ่ายปัจจุบัน
![](http://www.yclsakhon.com/images/sub_1326649264/Slide06.jpg)
![](http://www.yclsakhon.com/images/sub_1326649264/Slide06.jpg)
เมื่อปี 2449 สะพานขอมอยู่สูงจากพื้นดิน
![](http://www.yclsakhon.com/images/sub_1326649264/Slide09.jpg)
ภาพถ่าย "สะพานขอม" เมื่อครั้งกรมพระยาดำรงราชานุภาพเสด็จมาตรวจราชการที่จังหวัดสกลนคร เดือนมกราคม พ.ศ.2449
![](http://www.yclsakhon.com/images/sub_1326649264/Slide10(1).jpg)
ภาพถ่าย ปี พ.ศ.2449 จากมุมมองทิศตะวันออกของสะพานขอม
จากข้อมูลของกรมศิลปากรทราบว่า “สะพานขอม” ที่เมืองสกลนคร เป็นสิ่งก่อสร้างแห่งเดียวในประเทศไทย จังหวัดอื่นๆมีปราสาทน้อยใหญ่ อโรคยาศาล (โรงพยาบาล) ที่พักคนเดินทาง ฯลฯ แต่ไม่มีสะพาน ปัจจุบันสะพานขอมได้รับการบูรณะใหม่และตั้งแสดงอยู่ที่ริมถนนหน้าเมืองสกลนคร ในฐานะเว้ปไซ้ดท้องถิ่น yclsakhon ขอตั้งประเด็นคำถามและข้อสังเกตเกี่ยวกับสะพานแห่งนี้ว่า…..เป็นเพียงสะพานธรรมดา หรือมีวัตถุประสงค์อย่างอื่นด้วย
ลองมาวิเคราะห์ข้อมูลเหล่านี้
1.กรมศิลปากรเชื่อว่าสะพานแห่งนี้สร้างในสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 เช่นเดียวกับสะพานหินในนครธม และที่แม่น้ำชีเกรง จังหวัดกำปงกะเดย ประเทศกัมพูชา ดูจากรูปร่างลักษณะแล้วเป็นสไตล์เดียวกัน นักโบราณคดีชาวฝรั่งเศสบางท่านเชื่อว่า “สะพานหิน” ที่สร้างในยุคนั้น ทำหน้าที่เป็นฝายทดน้ำชลประทานอีกวัตถุประสงค์หนึ่ง
![](http://www.yclsakhon.com/images/sub_1326649264/Slide1.jpg)
![](http://www.yclsakhon.com/images/sub_1326649264/Slide18.jpg)
สะพานหินในนครธม (Spean Thma) อยู่ใกล้กับประตูแห่งชัยชนะด้านทิศตะวันออกของนครธม สร้างสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7
![](http://www.yclsakhon.com/images/sub_1326649264/Slide3.jpg)
ในยุคสมัยนั้นสะพานแห่งนี้สร้างข้ามแม่น้ำเสียมเรียบ (Siem Reap River) แต่ปัจจุบันสายน้ำเปลี่ยนทิศทาง ทำให้ตัวสะพานลอยอยู่บนพื้นดินข้างๆแม่น้ำ
![](http://www.yclsakhon.com/images/sub_1326649264/Slide21.jpg)
![](http://www.yclsakhon.com/images/sub_1326649264/Slide21.jpg)
สะพานข้ามแม่น้ำชีเกรง จังหวัดกำปงกะเดย ประเทศกัมพูชา สร้างโดยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ปัจจุบันเป็นสถานที่ท่องเที่ยว
![](http://www.yclsakhon.com/images/sub_1326649264/Slide22.jpg)
![](http://www.yclsakhon.com/images/sub_1326649264/Slide08.jpg)
![](http://www.yclsakhon.com/images/sub_1326649264/Slide08.jpg)
ภาพถ่ายสะพานขอมเมื่อ พ.ศ.2449 ครั้งที่กรมพระยาดำรงราชานุภาพเสด็จมาตรวจราชการที่จังหวัดสกลนคร เปรียบเทียบกับภาพสะพานขอมในปัจจุบันที่บูรณะโดยกรมศิลปากร
![](http://www.yclsakhon.com/images/sub_1326649264/Slide10.jpg)
![](http://www.yclsakhon.com/images/sub_1326649264/Slide07.jpg)
2.ถ้าสะพานหินที่หน้าเมืองสกลนครเป็นทำหน้าที่เพียงสะพานข้ามลำห้วยอย่างเดียวบนถนนเชื่อมระหว่างตัวเมืองโบราณกับชุมชนปราสาทนารายณ์เจงเวง ก็น่าจะมีการสร้างสะพานลักษณะเดียวกันมากกว่าหนึ่งแห่งเพราะเส้นทางดังกล่าวมีลำน้ำไหลผ่านหลายสาย แต่กรณีนี้มีเพียงสะพานทำด้วยหินเพียงแห่งเดียวแสดงว่าต้องมีวัตถุประสงค์พิเศษมากกว่าการเป็นสะพานธรรมดา ผมจึงลงความเห็นว่าน่าจะเพื่อการทดน้ำชลประทานสำหรับทำนาให้ได้ผลผลิตมากๆ
จากบันทึกของฑูตพาณิชย์ชาวจีน “จูต้ากวน” ที่เคยอยู่ในนครอังกอร์ราวแปดร้อยปีที่แล้วบันทึกว่าชาวขอมสามารถทำนาได้มากกว่าปีละหนึ่งครั้งโดยใช้น้ำชลประทาน เป็นหลักฐานยืนยันว่าบรรพชนเหล่านั้นมีความรู้ในการเกษตรชลประทานเป็นอย่างดี ประกอบกับคำจารึกที่ปราสาทภายในองค์พระธาตุเชิงชุมก็มีการกล่าวถึง "ถวาย ............. นาแด่สงกรานต์" แสดงว่าต้องมีการทำนาในยุคนั้น
![](http://www.yclsakhon.com/images/sub_1326649264/Slide05.jpg)
![](http://www.yclsakhon.com/images/sub_1326649264/Slide05.jpg)
![](http://www.yclsakhon.com/images/sub_1326649264/Slide3(1).jpg)
จารึกอักษรขอมโบราณที่ปราสาทภายในองค์พระธาตุเชิงชุม มีคำว่า "ถวาย ........นาแด่สงกรานต์" แสดงว่ายุคนั้นต้องมี "การทำนา"
3.เมื่อพิจารณาลักษณะภูมิประเทศพบว่า “หนองสนม” น่าจะเป็นอ่างเก็บน้ำ และพื้นที่ด้านล่างเป็นที่ทำนาโดยมีฝายทดน้ำเป็นตัวช่วยป้อนน้ำ ส่วนบริเวณอื่นๆที่อยู่ในภูมิประเทศใกล้เคียงไม่เอื้อต่อการสร้างระบบชลประทานเพราะไม่มี "อ่างเก็บน้ำ" จึงมีเพียงสะพานทำด้วยไม้และพุพังสลายไปตามกาลเวลา
![](http://www.yclsakhon.com/images/sub_1326649264/Slide02.jpg)
![](http://www.yclsakhon.com/images/sub_1326649264/Slide02.jpg)
ภาพถ่ายทางอากาศ ปี พ.ศ.2489 แสดงให้เห็นอ่างเก็บน้ำอย่างชัดเจน ปัจจุบันมีชื่อว่า "หนองสนม"
![](http://www.yclsakhon.com/images/sub_1326649264/Slide2.jpeg)
![](http://www.yclsakhon.com/images/sub_1326649264/Slide2(1).jpeg)
หนองสนม ปี 2489 กับหนองสนมในปัจจุบัน
![](http://www.yclsakhon.com/images/sub_1326649264/Slide5.jpeg)
แกะรอยจากภาพถ่าย ปี 2489 อ่างเก็บน้ำ (หนองสนม) สะพานขอมทำหน้าที่ฝายทดน้ำ และลำน้ำไหลลงหนองหาร
![](http://www.yclsakhon.com/images/sub_1326649264/Slide40.jpeg)
พื้นที่รับน้ำชลประทานเพื่อการทำนาด้านทิศตะวันตกของตัวเมืองโบราณสกลนคร
![](http://www.yclsakhon.com/images/sub_1326649264/Slide39.jpeg)
ภาพจำลองระบบการทดน้ำชลประทานเพื่อทำนาโดยใช้ "หนองสนม" เป็นตัวอ่างเก็บน้ำซึ่งรับน้ำที่ไหลลงมาจากบริเวณที่เป็นศูนย์ราชการในปัจจุบัน
4.จากการค้นพบ “ฝายหินโบราณ” บนภูเขาภูเพ็ก ทำให้ทราบว่าชาวขอมในยุคนั้นมีความรู้วิศกรรมชลประทานอย่างดี
![](http://www.yclsakhon.com/images/sub_1326649264/IMG_1353.JPG)
ฝายเก็บกักน้ำบนภูเขากลางป่าภูเพ็ก บ้านภูเพ็ก ตำบลนาหัวบ่อ อำเภอพรรณานิคม สกลนคร ถูกค้นพบโดยทีมงาน "พยัคฆ์ภูเพ็ก" นำโดยอาจารย์วรวิทย์ ตงศิริ หรือ ฤาษีเอก อมตะ และผู้ใหญ่บ้าน รวมทั้งผู้นำท้องถิ่นบ้านภูเพ็ก เมื่อเดือนเมษายน 2554 ฝายแห่งนี้สร้างเพื่อให้มีน้ำใช้สอยอุปโภคบริโภคสำหรับการก่อสร้างปราสาทภูเพ็กและชุมชนใกล้เคียง
ไหนๆก็พูดถึงสะพานขอมแล้วก็ขอลงภาพที่เกี่ยวข้องมาให้ท่านได้ชมประกอบบทความนี้ จากข้อมูลที่ทราบจากผู้หลักผู้ใหญ่ของเมืองสกลนคร สะพานขอมเคยมีลำน้ำไหลลอดข้างล่าง ต่อมาถูกกลบโดยกรมทางหลวงเพื่อขยายถนนหลวงแผ่นดิน แต่ภายหลังก็ต้องรื้อขึ้นมาใหม่เพราะกรมศิลปากรยืนยันว่าเป็นโบราณสถานตามกฏหมาย แต่เมื่อบูรณะเสร็จแล้วรูปร่างเปลี่ยนไปมากจนแทบไม่เหลือเค้าเดิม อีกทั้งทำไมจึงดูใหม่มาก?
![](http://www.yclsakhon.com/images/sub_1326649264/Slide28.jpeg)
![](http://www.yclsakhon.com/images/sub_1326649264/Slide28(1).jpeg)
![](http://www.yclsakhon.com/images/sub_1326649264/Slide28(2).jpeg)
![](http://www.yclsakhon.com/images/sub_1326649264/Slide26.jpeg)
![](http://www.yclsakhon.com/images/sub_1326649264/Slide22.jpeg)
![](http://www.yclsakhon.com/images/sub_1326649264/Slide22(1).jpeg)
![](http://www.yclsakhon.com/images/sub_1326649264/Slide20.jpeg)
![](http://www.yclsakhon.com/images/sub_1326649264/Slide20(1).jpeg)
![](http://www.yclsakhon.com/images/sub_1326649264/Slide11.jpg)
ภาพถ่ายโดยนักศึกษาวิทยาลัยครูสกลนคร (ไม่ทราบ พ.ศ.)
![](http://www.yclsakhon.com/images/sub_1326649264/Slide12.jpg)
ภาพถ่ายสะพานขอมกำลังถูกกลบขณะกำลังก่อสร้างถนน
![](http://www.yclsakhon.com/images/sub_1326649264/Slide13.jpg)
![](http://www.yclsakhon.com/images/sub_1326649264/Slide13.jpg)
ภาพถ่ายระหว่างบูรณะสะพานขอมโดยกรมศิลปากร
![](http://www.yclsakhon.com/images/sub_1326649264/Slide14.jpg)
![](http://www.yclsakhon.com/images/sub_1326649264/Slide14.jpg)
![](http://www.yclsakhon.com/images/sub_1326649264/Slide15.jpg)
![](http://www.yclsakhon.com/images/sub_1326649264/Slide16.jpg)
![](http://www.yclsakhon.com/images/sub_1326649264/Slide17.jpg)
![](http://www.yclsakhon.com/images/sub_1326649264/Slide17.jpg)
สรุป
บทความนี้เป็นความเห็นส่วนตัว ..... ที่เชื่อว่า "สะพานขอม" นอกจากเป็นเส้นทางไปมาหาสู่ระหว่างเมืองโบราณกับชุมชนธาตุนารายณ์เจงเวง ก็ยังสามารถทำหน้าที่ทดน้ำเพื่อการทำนา
อนึ่ง การที่กรมทางหลวงถมดินกลบสะพานขอมเพื่อสร้างถนน และต่อมาถูกกรมศิลปากรใช้กฏหมายโบราณสถานสั่งให้รื้อฟื้นขึ้นมาใหม่ เป็นบทเรียนราคาแพงที่ต้องไม่ให้กรณีเช่นนี้เกิดขึ้นอีก เราทั้งหลายที่เกิดในยุคปัจจุบันต้องรำลึกถึงรากเหง้าของตนเองว่าบรรพบุรุษได้สร้างมรดกอันล้ำค่าไว้ ต้องทำความเข้าใจกับหลักการที่ว่า "ความเจริญต้องไม่ทำลายมรดกทางวัฒนธรรม" เพราะความเจริญเราสามารถหาใหม่ได้ทุกเมื่อถ้ามีงบประมาณ แต่มรดกวัฒนธรรมไม่สามารถตีราคาได้ ต่อให้มีเงินเท่าไหร่ก็หาซื้อไม่ได้ พูดง่ายว่า "หายแล้วหายเลย"