ศารทวิษุวัต 23 กันยายน 2554 ครบรอบ10 ปี การค้นพบ "สุริยะปฏิทินพันปี" ปราสาทภูเพ็ก สกลนคร

เหตุจูงใจให้ค้นพบ "สุริยะปฏิทินพันปี" ที่ปราสาทภูเพ็ก
เริ่มต้นจากการไปอบรมด้านการพัฒนาชุมชนที่ประเทศอิสราเอล เมื่อปี 2521 ทำให้ผมสนใจศึกษาด้านโบราณคดี และดาราศาสตร์ เพราะมีโอกาสเยี่ยมชมโบราณสถานหลายแห่งในกรุงเยรูซาเลม และหัวเมืองต่างๆของอิสราเอล ประกอบกับได้อ่านพระคำภีร์ไบเบิ้ลฉบับเก่าของชาวยิว (The Old Testament) ที่แปลเป็นภาษาอังกฤษ พบว่าคำภีร์นี้เต็มไปด้วยข้อมูลดาราศาสตร์ เมื่อกลับมาประเทศไทยในปี 2522 ต้องยุ่งอยู่กับงานโครงการพัฒนาชนบทแบบผสมผสาน บริเวณโครงการชลประทานน้ำอูน จึงไม่มีเวลาพอในการค้นคว้าเพิ่มเติม แต่แล้วจังหวะก็มาถึงเมื่อปี 2541 ได้ไปทำงานเป็นที่ปรึกษาให้กับองค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO) ในโครงการความมั่นคงด้านอาหาร ที่ประเทศกัมพูชา จึงถือโอกาสหาเวลาว่างศึกษาโบราณสถานยุคขอมเรืองอำนาจและทำให้รู้ว่าบรรพชนเหล่านั้นใช้ปฏิทิน "มหาศักราช" ซึ่งวันปีใหม่ตรงกับปรากฏการณ์ดาราศาสตร์ที่เรียกว่า "วสันตวิษุวัต" (Vernal equinox) โลกตั้งฉากกับดวงอาทิตย์ กลางวันเท่ากับกลางคืน ปัจจุบันตรงกับวันที่ 21 มีนาคม ขณะเดียวกันผมมีประสบการณ์เกี่ยวกับปฏิทินมหาศักราชอยู่แล้วเพราะเป็นนักเรียนเก่าจากมหาวิทยาลัยเกษตรรัฐปันจาบ ประเทศอินเดีย ไดอะรี่ของมหาวิทยาลัยก็ใช้ปฏิทิน SAKA Calendar ควบคู่กับปฏิทินสากล เพราะ SAKA ดังกล่าวเป็นปฏิทินทางการของประเทศอินเดีย แม้กระทั่งอาณาจักรสุโขทัยก็ใช้ปฏิทินฉบับนี้แต่มายกเลิกและเปลี่ยนไปใช้ปฏิทิน "จุลศักราช" ของพม่า ในยุคอาณาจักรศรีอยุธยา



ปฏิทิน "มหาศักราช" SAKA Calendar ของอินเดียกำหนดให้วันปีใหม่ (Chaitra) ตรงกับวันที่ 21 มีนาคม (ในปีอธิกสุรทิน leap year เดือนกุมภาพันธ์มี 29 วัน) หรือ 22 มีนาคม (ปีปกติสุรทิน เดือนกุมภาพันธ์มี 28 วัน) วันดังกล่าวตรงกับปรากฏการณ์ดาราศาสตร์ "วสันตวิษุวัต" กลางวันเท่ากับกลางคืน และเริ่มต้นฤดูใบไม้ผลิ

ผมรู้จักปราสาทภูเพ็กมานานแล้ว เคยขึ้นไปครั้งแรกราวปี 2535 แต่ไม่รู้ว่ามีความเกี่ยวข้องกับดาราศาสตร์อย่างไร แต่หลังจากที่กลับมาจากประเทศกัมพูชาเมื่อปี 2541 ก็มีความสงสัยว่าปราสาทหลังนี้ต้องมีความเกี่ยวข้องกับดาราศาสตร์อย่างใดอย่างหนึ่ง และเมื่อประมวลข้อมูลจากอาณาจักรขอม บวกกับความสนใจดาราศาสตร์และโบราณคดี ทำให้ผมตัดสินใจลุยขึ้นไปที่สำรวจปราสาทภูเพ็กในเดือนกรกฏาคม 2544 และพบข้อมูลเบื้องต้นว่าปราสาทหลังนี้หันหน้าเข้าหาทิศตะวันออกแท้


คืนวันที่ 22 กันยายน 2544 ผมและนายไกรลาศฯ นักศึกษาวิชาพัฒนาชุมชนของสถาบันราชภัฏ (ตอนนี้คุณไกรลาศฯ ทำงานอยู่ที่กลุ่มยุทธศาสตร์ สำนักงานจังหวัดสกลนคร ) ไปนอนอยู่ที่บ้านของคุณพิศวง สายสร้อย อดีตหัวหน้างานนิติการ สำนักงานจัดรูปที่ดินจังหวัดสกลนคร ที่บ้านภูเพ็ก ต.นาหัวบ่อ อ.พรรณานิคม เพื่อรอจังหวะลุยขึ้นไปปราสาทภูเพ็กตอนตีห้าของเช้ามืดวันที่ 23 กันยายน 2544 โดยนัดกับพระเจี้ยบ และแล้วทั้งหมด 2 คน บวก 1 พระสงฆ์ ก็ได้เห็นดวงอาทิตย์ขึ้นตรงกลางประตูปราสาทภูเพ็กตามที่คาดหมายไว้ เมื่อเวลาประมาณ 06.15 นาฬิกา ตอนนั้นยังไม่มีกล้องดิจิต้อลผมใช้กล้อง Cannon F-1
จากหลักฐานเชิงประจักษ์ ทำให้ผมกล้าตั้งชื่อ "สุริยะปฏิทินพันปี" ปราสาทภูเพ็ก ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา และวันที่ 21 มีนาคม 2545 สถาบันราชภัฏสกลนคร ร่วมกับหอการค้าสกลนคร และ อบต.นาหัวบ่อ จัดมหกรรม "สุริยะปฏิทินพันปี" โดยมีประชาชน สื่อมวลชนเข้าร่วมนับร้อยคน


ปีต่อมา 23 กันยายน 2545 จังหวัดสกลนคร ร่วมกับสถานฑูตสวีเดนประจำประเทศไทย โดยมี ดร.โกล โบว์ จากสถานฑูตสวีเดน และ โปรเฟซเซ่อร์ชองหลุยส์ อาร์มั่น อธิการบดีสถาบัน เอไอที และนายยงยุทธ นิ่มสุวรรณ รองผู้ว่าราชการจังหวัดสกลนคร พร้อมด้วยสื่อมวลชนทีวีหลายช่อง ไปชมปรากฏการณ์ "ศารทวิษุวัต" ที่ปราสาทภูเพ็ก


ปี 2547 การสื่อสารแห่งประเทศไทย ออกแสตมป์ที่ระลึก Unseen Thailand โดยสุริยะปฏิทิน ปราสาทภูเพ็กได้รับเกียรติให้เป็นหนึ่งในแสตมป์ชุดนั้น


เปรียบเทียบถ่ายดวงอาทิตย์ในวัน "ศารทวิษุวัต" (Autumnal equinox) ระหว่างถนนหน้าบ้านของลูกสาวที่เมือง Tulsa Oklahoma State USA (ถ่ายเมื่อ 23 กันยายน 2554) กับ ปราสาทภูเพ็ก สกลนคร ประเทศไทย (ถ่ายเมื่อ 23 กันยายน 2545) จากการศึกษาของผมพบว่าเมืองหลายแห่งในสหรัฐอเมริกาถูกออกแบบผังเมืองให้สอดคล้องกับทิศภูมิศาสตร์ โดยให้ถนนตรงกับแนวเหนือ-ใต้ และออก-ตก ดังนั้นบ้านจำนวนมากจึงหันหน้าเข้าทิศตะวันออกแท้ เช่นเดียวกับปราสาทภูเพ็ก