ตอนเขาไปทำก็ไม่มีใครอยู่ด้วยสักคน ไม่เห็นกับตาสักคน

ตอนเคลื่อนย้ายออกมาก็ไม่เห็นเช่นกัน

 หินดังกล่าวเป็น "คันทบัตร" หรือศิลาฤกษ์ แต่มีนัยยะข้อมูลตำแหน่งดวงอาทิตย์ตามปฏิทินมหาศักราชอยู่ในนั้น นักวิชาการจากกรมศิลปากรใช้คำอธิบายว่า ช่องดังกล่าวอาจจะหมายถึงเทพเจ้าในจักรวาล ผมตีความว่านั่นคืด "สุริยะเทพ" และได้มีการพิสูจน์ทั้งคำนวณองศาด้วยโปรแกรมดาราสาสตร์ และพิสูจน์เชิงประจักษ์ในวันสำคัญของปฏิทินมหาศักราชอย่างต่อเนื่อมากกว่าสิบปี ได้แก่ ราศีเมษ ราศีตุล ราศีมีน ราศีแมลงป่อง และราศีแพะทะเล ปรากฏว่าดวงอาทิตย์มาตรงตามตำแหน่งดังกล่าว ดังนั้นผมจึงตั้งชือหินก้อนนี้ว่า "สุริยะปฏิทิน" 

สรรค์สนธิ บุณโยทยาน

 ปราสาทภูเพ็ก สร้างได้เพียงครึ่งเดียวไม่มีการจารึกหรือรูปแกะสลักอะไรเลย ทำให้ไม่ทราบว่าสร้างในยุคใด กรมศิลปากรก็ได้แต่ใช้คำพูดว่า "เชื่อว่าสร้างในราวพุทธศตวรรษที่ 16 -17" ดังนั้นการวิเคาระห์ข้อมูลว่าปราสาทภูเพ็กสร้างในสมัยไหนก็ต้องขึ้นอยู่กับจิตนาการของแต่ละท่าน ผมก็มีจิตนาการของผมที่สร้างขึ้นมาจากวัตถุพยานของการทิ้งงานแบบกระทันหัน สภาพแวดล้อม การเชื่อมโยงเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ บวกกับความเป็นไปได้ของข้อมูลในเชิงตรรกะ แต่ก็ยอมรับว่าทุกท่านแม้จะเชี่ยวชาญขนาดไหนก็ไม่ได้เกิดในยุคนั้น ไม่เห็นด้วยตาตนเอง แต่อาศัยวิจารณญาณของแต่ละคน ถ้าเอาไปขึ้นโรงขึ้นศาลจะถูกยกฟ้องทั้งหมดเพราะศาลในระบบกล่าวหาจะใช้คำพูดว่า "พยานคิดเอง"   

 ที่วิจารณ์กันมา  หรือคิดกันมา  ผิดเกือบทั้งหมด 

ชัยวรมันที่ 8 ไม่มีครับครับ  จบแค่ท่านชายสุริยะวรมันที่ 7 ครับเป็นองค์สุดท้าย....

จากอดีตผ่านมาจนถึงปัจจุบัน สองพันกว่าปี มนุษย์ยุคนี้กับกาลก่อนความฉลาด

ช่างต่างกันเหลือเกิน