ทำไมชาวมายาในเม็กซิโกจึงมีรูปร่างหน้าตาเหมือนคนเอเซีย
ทุกครั้งที่ไปเม็กซิโกมักถูกผู้คนที่นั่นคิดว่าผมก็เป็นเม็กซิกันและส่งภาษาสแปนนิชทักทาย ......... ต้องบอกเขาว่า "มาจากประเทศไทย" (Yo soy Thailandia)
......... ย้อนเวลากลับไปเมื่อ 12,600 ปี ณ ดินแดนที่ปัจจุบันถูกตั้งชื่อว่าเมืองวิสแซล รัฐมอนทาน่า สหรัฐอเมริกา........ พ่อกับแม่ผู้เป็นหัวหน้าเผ่าบรรจงวางร่างไร้วิญณาณของลูกน้อยอายุราวสองขวบลงในหลุมพร้อมกับอุปกรณ์สำคัญในการล่าสัตว์ทำจากหินและเขากวางราว 115 ชิ้น จากนั้นก็โรยฝุ่นหินสีแดงเพื่อเป็นอนุสรณ์แห่งความผูกพันที่ไร้กาลเวลา........
ปี 1968 คนงานก่อสร้างในที่ดินส่วนตัวของตระกูลแอนซิก (Anzick) พบหลุมฝังศพโบราณมีโครงกระดูกโรยด้วยฝุ่นหินสีแดงและอาวุธโบราณจำนวนมาก สร้างความตื่นเต้นแก่นักโบราณคดีเพราะนี่คือหลักฐานโครงกระดูกเพียงชิ้นเดียวของบรรพชนยุคก่อนประวัติศาสตร์ที่ถูกตั้งชื่อว่า "วัฒนธรรมโครวิส" (Clovis Culture) เรียกตามชื่อเมืองโครวิส รัฐนิวเม็กซิโก สหรัฐอเมริกา ที่มีการขุดพบหอกปลายแหลมทำด้วยหินเมื่อปี ค.ศ.1930 แต่ไม่เคยพบโครงกระดูกมาก่อนเลย
นักโบราณคดีตั้งทฤษฏีว่าชาวโครวิสน่าจะอพยพมาจากทวีปเอเซียผ่านทางแผ่นดินเชื่อมต่อระหว่างไซบีเรียกับรัฐอลาสก้าปัจจุบันเรียกว่า "ช่องแคบแบร่ิง" เพราะมีการพบหอกปลายแหลมลักษณะเดียวกันในดินแดนไซบีเรีย ทฤษฏีนี้ถูกแย้งโดยนักโบราณคดีหลายคนว่าชาวโครวิสน่าจะมาจากทวีปยุโรปเพราะที่นั่นก็มีหอกปลายแหลมเหมือนกัน ข้อถกเถียงยังคงดำเนินต่อไปหลายสิบปีเพราะขาดหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์

พ่อกับแม่และสมาชิกของเผ่าช่วยกันทำหลุมฝังศพให้แก่เด็กชายอายุราวสองขวบราว 12,600 - 13,000 ปีที่แล้ว ณ ดินแดนที่ปัจจุบันเรียกว่าเมืองวิสแซล รัฐมอนทาน่า สหรัฐอเมริกา
มาถึงยุคปัจจุบัน ปี 1968 คนงานก่อสร้างขุดพบโครงกระดูกโรยด้วยฝุ่นหินสีแดง (red ochre) และหอกปลายแหลมทำด้วยหินและเขากวางราว 115 ชิ้น ทำให้นักโบราณคดีรู้ว่าเจ้าของโครงกระดูกนี้ต้องเป็นบุคคลระดับวีไอพีเพราะมีการประดับประดาด้วยอาวุธไฮเทคของยุคนั้น
นักโบราณคดีตั้งชื่อบรรพชนที่เป็นเจ้าของหอกปลายแหลมนี้ว่า "วัฒนธรรมโครวิส" (Clovis Culture) ตามชื่อเมืองโครวิส รัฐนิวเม็กซิโก สหรัฐอเมริกา (Clovis New Mexico USA) ที่มีการพบหอกปลายแหลมเป็นครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ.1930
นักโบราณคดีจินตนาการว่าชาวโครวิสใช้หอกปลายแหลมในการล่าสัตว์
บรรพชนวัฒนธรรมโครวิสสามารถผลิตเสื้อผ้าและเครื่องใช้จากสัตว์
ทฤษฏีแบริงเจีย ....... วัฒนธรรมโครวิสมาจากทวีปเอเซีย?
นักโบราณคดีส่วนหนึ่งเชื่อว่าชาวโครวิสอพยพมาจากทวีปเอเซียผ่านจุดเชื่อต่อระหว่างไซบีเรียกับรัฐอลาสก้าเมื่อครั้งโลกอยู่ในยุคน้ำแข็งราว 32,000 - 18,000 ปีที่แล้ว และกลายมาเป็นบรรพชนของเผ่าอเมริกันพื้นเมืองในปัจจุบันซึ่งอาศัยอยู่ในดินแดนประเทศอเมริกาและประเทศต่างในอเมริกลางกับอเมริกาใต้ แต่ทฤษฏีนี้ถูกคัดค้านจากนักโบราณคดีจำนวนมากเพราะลำพังเพียงหลักฐานจาก "หอกหินปลายแหลม" มันไม่ชัดเจนเนื่องจากทั่วโลกก็มีหลักฐานลักษณะคล้ายกัน

เมื่อครั้งโลกอยู่ในยุคน้ำแข็งรอยเชื่อมต่อระหว่างทวีปเอเซียกับทวีปอเมริกาเป็นแผ่นน้ำแข็งที่หนาและกว้างใหญ่จนเหมือนแผ่นดินสามารถเดินข้ามไปมาได้ ปัจจุบันเรียกว่าช่องแคบแบริ่ง และทฤษฏีนี้ถูกให้ชื่อว่า "แบริงเจีย" (Beringia)
ทฤษฏีแบริงเจียอธิบายว่าชาวเอเซียเหล่านี้อพยพและตั้งถิ่นฐานทั่วดินแดนทวีปอเมริกาเหนือและอเมริกาใต้ ต่อมาก็กลายเป็นบรรพบุรุษของชาวพื้นเมืองในปัจจุบัน (native american) ที่เราๆท่านเรียกพวกเขาว่าอินเดียแดง มายา แอสเท็ก อินคา ฯลฯ
ทำไมจึงสนใจเรื่องนี้
จากการไปศึกษาเรื่องราวโบราณคดีและดาราศาสตร์ที่คาบสมุทรยูคาตัน ประเทศเม็กซิโก (Yucatan Mexico) ได้พบเห็นชาวพื้นเมืองเผ่ามายามีรูปร่างหน้าตาไม่ต่างกับคนเอเซีย หลายครั้งพวกเขาก็คิดว่าผมเป็นพลเมืองเม็กซิกัน อีกทั้งยังได้ยินจากคนพื้นเมืองว่าเด็กแรกเกิดชาวมายามีปานสีน้ำเงินที่ภาษาแพทย์เรียกว่า Mongolian Blue Spot และจะจางหายไปเมื่ออายุราวหกขวบ ในความคิดของผมเราต้องมี "ดีเอ็นเอ" ร่วมกันอย่างใดอย่างหนึ่ง ไม่งั้นหน้าตาจะฟ้องขนาดนี้เชียวหรือ
สนใจศึกษาเรื่องราวของชาวมายาตั้งแต่ปี 2526 (1983) โดยซื้อหนังสือเล่มนี้ที่ร้านของมหาวิทยาลัยแห่งรัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 7 October 1983
.jpg)
ภาพซ้ายมือยืนคู่กับสตรีชาวมายา ที่เมืองแคนคูน เม็กซิโก ภาพขวามือถ่ายกับป้าแต๋วเจ้าของร้านอาหารไทยที่เมืองทัลซ่า รัฐโอคลาโฮม่า สหรัฐอเมริกา รูปร่างหน้าตาของชาวมายากับคนไทยอยู่ในโทนเดียวกัน

จำแนกชาวเม็กซิกันในปัจจุบันออกเป็น 3 ลักษณะตามหลักฐานกายภาพ (Phynotypic Character) ประเภทที่ 1 เป็นฝรั่งผิวขาวเชื้อสายสแปนนิช 100% ประเภทที่ 2 เป็นลูกผสมระหว่างชาวพื้นเมืองกับฝรั่งเรียกว่า "เมสติโส้" (mestizo) ประเภทที่ 3 มายันพันธ์ุแท้ 100%
ชาวมายามีผิวพรรณเหมือนคนไทยและตัวเตี้ยๆ ผู้ชายจะอยู่ในราว 150 ซม

ยืนเปรียบเทียบกับชาวมายาที่สูงประมาณ 150 ซม
พี่น้องชาวมายาคู่นี้ก็สูงราวๆ 150 ซม

เพราะชาวมายาตัวเตี้ยๆประตูโบราณสถานของพวกเขาจึงเตี้ยตาม ความสูงขนาดผม 170 ซม ต้องก้มเดินเข้าไป
.jpg)
ปราสาทบันทายศรี (Banteay Srei) ประเทศกัมพูชา กับปีรามิด Ek Balam ของชาวมายาที่เม็กซิโก มีส่วนคล้ายกันตรง "ประตูเตี้ย"
.jpg)
ประตูของปราสาทบันทายศรี (Banteay Srei) กับปีรามิด Ek Balam ของชาวมายาที่แหลม Yacatun Mexico มีลักษณะคล้ายกันที่ "ความเตี้ย"

บ้านของชาวมายาปัจจุบันนิยมมุงหลังคาด้วยใบไม้ (คนไทยเรียกหลังคาจาก) แม้ว่าพวกเขาจะหันมาพูดภาษาสแปนนิชและนับถือศาสนาคาทอลิกตามอิทธิพลของเจ้าอาณานิคมจากสเปนส์
ภายในตัวบ้านของชาวมายา ในคาบสมุทรยูคาตันใกล้ๆกับโบราณสถาน Chichen Itza

อาหารของชาวมายายังคงสืบทอดแต่ครั้งบรรพบุรุษ เป็นแผ่นโรตีทำจากแป้งข้าวโพดและข้าวสาลี เรียกว่าต่อทีย่า (Tortilla)

ทดสอบกินอาหารชาวมายาแท้ๆ

กินอาหารเสร็จก็ถ่ายรูปและขอบคุณคุณยายอายุ 76 ปี เจ้าของบ้าน
เด็กผู้หญิงชาวมายาหน้าตาก็ไม่ต่างจากชาวเอเซีย
เด็กผู้ชายชาวมายาก็เหมือนเด็กๆทั่วไปของประเทศไทย
ชาวมายามีเครื่องแต่กายเป็นเอกลักษณ์

ชาวมายารูปร่างแตกต่างจากชาวเม็กซิกันอื่นๆ และเครื่องแต่งกายก็เป็นเอกลักษณ์ ไม่ว่าจะอยูที่บ้านหรือไปที่ไหนๆพวกเขาก็แต่งกายด้วยชุดประจำเผ่า
การตรวจ DNA ฟันธงชาวพื้นเมืองในทวีปอเมริกามีบรรพบุรุษมาจากทวีปเอเซีย
ได้เกริ่นแต่ต้นว่ามีการค้นพบโครงกระดูกเด็กอายุราวสองขวบที่เมืองรัฐมอนทาน่าเมื่อปี ค.ศ.1968 ในที่ดินส่วนตัวของตระกูล Anzick ครอบครัวเจ้าของที่ดินได้เก็บรักษาโครงกระดูกนี้ไว้จนถึงปี 2014 จึงยินยอมให้ทีมงานนักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัย Texas at A & M USA และมหาวิทยาลัย Copenhagen Denmark นำไปสกัดดีเอ็นเอและจัดทำแผนที่ ดีเอ็นเอ 3 ชนิด คือ Mitochondrial DNA (mt DNA) Full nuclear DNA และ Y- Chromosome แล้วนำไปเปรียบเทียบกับตัวอย่าง DNA ของผู้คนทั่วโลก พบว่า DNA ของโครงกระดูกชาวโครวิสตรงกับชาวพื้นเมืองปัจจุบันในทวีปอเมริกา (Native Americans) ทั้งชาวอินเดียแดง ชาวพื้นเมืองอเมริกากลาง และอเมริกาใต้
อนึ่ง การนำโครงกระดูกของชาวพื้นเมืองในอเมริกาไปตรวจทางวิทยาศาสตร์ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เพราะประเทศอเมริกามีกฏหมายที่เรียกว่า Native American Graves Protection and Repatriation Act (NAGPRA) เพื่อคุ้มครองสิทธิการเป็นเจ้าของโดยคนพื้นเมืองและห้ามไม่ให้ผู้ใดมายุ่งเกี่ยว แต่เผอิญโครงกระดูกอันนี้เป็นสมบัติส่วนบุคคลของครอบครัว Anzick จึงมีการเลี่ยงบาลีว่าไม่เข้าข่ายกฏหมายที่ว่าแต่นักวิทยาศาสตร์ก็ต้องเจรจากับหัวหน้าเผ่าในพื้นที่อยู่นานเพราะมีเรื่องของความเชื่อโบราณ และบังเอิญอีกเช่นกันที่ลูกสาวของครอบครัวนี้คือ Dr.Sarah Anzick เป็นนักวิทยาศาสตร์สาขา Molecular Biology (ตอนที่พบโครงกระดูกเมื่อปี1968 Sarah Anzick อายุเพียง 2 ขวบ) จึงเจรจาให้ครอบครัวของเธออนุญาตให้มีการตรวจ DNA ด้วยข้อแม้ว่าเธอต้องร่วมงานครั้งนี้ด้วย และเมื่อเสร็จสิ้นภารกิจแล้วต้องนำโครงกระดูกไปฝังยังที่เดิมพร้อมกับประกอบพิธีอย่างสมเกียรติ

บริเวณที่ขุดพบโครงกระดูกเด็กชาวโครวิส และถูกตั้งชื่อว่า Anzick -1

โฉมหน้าทีมตรวจ DNA ประกอบด้วย Dr.Eske Willerslev จาก University of Copenhagen Dr.Michael Waters จาก University of Texas at A & M และ Dr.Sarah L Anzick ลูกสาวเจ้าของโครงกระดูก

คำอธิบายเรื่องราวของการตรวจ DNA จากโครงกระดูก Anzick - 1

ชาวพื้นเมืองในทวีปอเมริกาซึ่งสืบเชื้อสายมาจาก Clovis Culture

University of Cambridge ก็ยืนยันผลการตรวจ DNA ว่าชาว Clovis มาจากทวีปเอเซีย ท่านๆที่สนใจในรายละเอียดก็สามารถเข้าไปอ่านที่เว้ปไซด์ หรือใช้ Keyword ว่า clovis from Asia

โฉมหน้า Dr.Andrea Manica จากมหาวิทยาลัยเคมบริจด์ เป็นอีกท่านหนึ่งที่ยืนยันว่า DNA ของ Clovis มาจากเอเซีย

.jpg)
ตอนแรกๆที่พบหอกปลายแหลมที่ถูกตั้งชื่อว่า Clovis Point ยังไม่สามารถฟันธงว่าพวกเขามาจากทวีปเอเซีย จึงเป็นเพียง "เชื่อว่า และน่าจะ"

โฉมหน้าชาวพื้นเมืองในทวีปอเมริกาปัจจุบัน ถ้าเอามาเดินอยู่แถวๆจังหวัดสมุทรสาครก็ไม่ต่างกับแรงงานพม่าและแรงงานกัมพูชา

Dr.Sarah Anzick นำโครงกระดูกกลับมาฝังที่เดิม โดยมีหัวหน้าเผ่าพื้นเมืองเป้นสักขีพยาน

มีการทำพิธีตามแบบฉบับชาวพื้นเมืองอย่างชนิดจัดเต็ม
ชาวเอเซียบุกทวีปอเมริกาอีกครั้งในยุคปัจจุบัน
ทุกวันนี้ชาวอเมริกันโดยสัญชาติ (American Citizen) จำนวนหลายล้านคนเป็นชาวเอเซียจากประเทศต่าง เช่น จีน ญี่ปุ่น เกาหลี เวียดนาม ไทย ลาว กัมพูชา เนปาล อินเดีย ปากีสถาน อิหร่าน มาเลเซีย ภูฐาน พม่า แม้กระทั้งชนกลุ่มน้อยอย่างชาวม้ง และไทดำ ก็เป็นอเมริกันโดยสัญชาติ ที่รัฐ Iowa จึงมีสมาคมชาวเอเซีย (Asian Alliance) ตั้งมาเกือบสามสิบปี และมีการจัดงาน Asian Festival ทุกๆปีในเดือนพฤษภาคม ทุกวันนี้ชาวอเมริกันเชื้อสายเอเซียทำงานทำการเป็นนักธุรกิจ ผู้รับเหมา นักวิทยาศาสตร์ แพทย์ พยาบาล ตำรวจ ทหารแทบทุกเหล่า วิศวกร และอีกหลากหลายอาชีพ พวกเขาสร้างเศรษฐกิจที่มั่นคงให้กับประเทศอเมริกาด้วยการสร้างผลงานนานนาชนิดและที่สำคัญจ่ายภาษีให้แก่คุณลุงแซมชนิดจัดเต็ม อาจเรียกได้ว่าพวกเขาเหล่านี้เป็น "วัฒนธรรมโครวิสยุคศตวรรษที่ 21" (The 21st Century Clovis Culture)
พิธีเปิดการจัดงาน Asian Festival ประจำปี 2019 ระหว่าง 25 - 26 May

หมื่นกว่าปีที่แล้วในยุค "น้ำแข็ง" ชาวเอเซียอพยพเข้าสู่ทวีปอเมริกาผ่านช่องแคบแบริ่งโดยเดินบน Land-bridge ที่เป็นน้ำแข็ง
.jpg)
ชาวเอเซียในยุคหมื่นกว่าปีที่แล้วใช้วิธีเดินจากทวีปเอเซียเข้าสู่ทวีปอเมริกาพวกเขาน่าจะใช้เวลาหลายชั่วอายุคน

ยุคปัจจุบันชาวเอเซียอพยพเข้าสู่อเมริกาผ่านช่องแคบแบริ่งเหมือนเมื่อหมื่นกว่าปีที่แล้วแต่พวกเขานั่งบนเครื่องบินใช้เวลาเพียง 10 - 15 ชั่วโมง
.jpg)
ชาวเอเซียเหล่านี้เป็น "วัฒนธรรมโครวิส ยุคศตวรรษที่ 21"

เปรียบเทียบระหว่างชาวเอเซียในยุคก่อนประวัติศาสตร์กับชาวเอเซียในยุคปัจจุบันที่ประเทศอเมริกา
สรุป
ความคิดของผมที่เชื่อว่า "ชาวมายา" มีบรรพบุรุษจากทวีปเอเซีย ได้รับการยืนยันด้วยหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ บวกกับหลักฐานทางกายภาพที่เรียกว่า "ตาดูหูฟัง" จึงไม่ต้องสงสัยอีกต่อไปว่าทำไมชาวมายาในคาบสมุทรยูคาตันกับผมจึงมีหน้าตาเหมือนกันมากถึงมากที่สุด ........ และนี่ก็คือเหตุผลที่ผมชอบไปค้นคว้าเรื่องโบราณคดีและดาราศาสตร์ที่ประเทศเม็กซิโกเป็นประจำทุกปี
