จับพิรุธรูปสลักหินอ่อน "กษัตริย์เดวิท" ที่เมืองฟอร์เรนซ์ อิตาลี
เมืองฟรอเร้นซ์ ประเทศอิตาลี เป็นแม่เหล็กดึงดูดนักท่องเที่ยวเพราะมีความสวยงามของสถาปัตย์ในสไตล์โรมันและยุโรปในยุคเฟื่องฟู และก็เป็นไฟต์บังคับที่ไกด์ทัวร์ต้องนำนักท่องเที่ยวไปชมรูปสลักหินอ่อนของ "กษัตริย์เดวิท" ที่ยืนท้าแดดท้าลมอยู่ที่หน้าวิหาร Palazzo Vecchio แต่ในความเป็นจริงรูปสลักที่เห็นเป็นของทำเลียนแบบ (Replica) โดยของจริงตั้งแสดงอยู่ใน Galleria dell" Accademia ตั้งแต่ปี ค.ศ.1873 และอันที่เลียนแบบถูกนำมาตั้งเมื่อปี ค.ศ.1910 ผมไปที่นั่นเมื่อเดือนตุลาคม 2549 และทันทีที่เห็นรูปสลักหินอ่อนของกษัตริย์เดวิท ฟันธงได้ทันทีว่า "มีพิรุธ" อย่างแน่นอน ถ้ากษัตริย์เดวิทฟื้นขึ้นมาได้ท่านคงจะพูดว่า "เจ้ารูปสลักนี้มันไม่ใช่ตูข้า" ในฐานะที่เป็นศิษย์เก่าจากสถาบันฝึกอบรมของประเทศอิสราเอลถึงสองครั้งในปี ค.ศ.1978-79 และ 1996 คุ้นเคยกับกฏเกณฑ์ของศาสนา "ยูดาห์" และก็ทราบดีอีกเช่นกันว่าศิลปินผู้ยิ่งใหญ่ "ไมเคิ่ลแอนเจโร่" ต้องยอมทำตามกฏของกรุงโรมในขณะนั้นเข้าตำราลงเรือแป๊ะต้องตามใจแป๊ะ
เรื่อง "พิรุธ" ในรูปสลักหินอ่อนของ "กษัตริย์เดวิท" จะเป็นอะไรนั้นท่านต้องตามผมมาครับ ...........

ไปที่นั่นเมื่อเดือนตุลาคม 2549

รูปสลักหินอ่อน "กษัตริย์เดวิท" ของแท้ตั้งแสดงอยู่ที่ Galleria dell" Accademia เมือง Florence
ที่มาของรูปสลักหินอ่อนกษัตริย์เดวิท
เป็นที่ทราบกันดีว่าชาวอิตาเลี่ยนสืบทอดประเพณีและศาสนาคาทอลิกมาจากอาณาจักรโรมันที่มี "สำนักวาติกัน" เป็นศูนย์อำนาจ ศาสนาคาทอลิกยึดถือพระคำภีร์ไบเบิ้ล 2 ฉบับ คือ พันธสัญญาเก่า (The Old Testament) และพันธสัญญาใหม่ (The New Testament) ดังนั้น จึงต้องมีเรื่องราวย้อนหลังไปถึงประวัติศาสตร์แห่งนครเยรูซาเลมเมื่อ 3,000 ปีที่แล้ว (ปัจจุบันเป็นเมืองหลวงของประเทศอิสราเอล) ในพระคำภีร์ไบเบิ้ลฉบับพันธสัญญาเก่าระบุว่า "กษัตริย์เดวิท" เป็นผู้สร้างกรุงเยรูซาเลมและเป็นกษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่ เดิมท่านเป็นเพียงเด็กหนุ่มชาวยิวมีอาชีพเลี้ยงแกะแต่อาจหาญต่อสู้กับยักษ์อย่าง "โกไลแอท" ซึ่งเป็นทหารเอกของชาวฟีรีสตีนซ์ หนุ่มเดวิทใช้วิธีอันชาญฉลาดเอาเชือกสลิงเหวี่ยงก้อนหินใส่หัวยักษ์โกไลแอทจนล้มลงและใช้ดาบสังหาร ชาวยิวพร้อมใจกันยกหนุ่มเดวิทขึ้นเป็นกษัตริย์แห่งกรุงเยรูซาเลม จากบันทึกพระคำภีร์ไบเบิ้ลต้นฉบับภาษาฮีบริวได้รับการถ่ายทอดต่อๆกันมาเป็นภาษาลาติน ทำให้ชาวโรมันรู้จักเรื่องราวของเมืองเยรูซาเลมและกษัตริย์เดวิทเป็นอย่างดี
วันที่ 16 สิงหาคม ค.ศ.1501 ผู้ปกครองเมืองฟรอเร้นซ์ได้ทำสัญญาว่าจ้างให้ศิลปินหนุ่มชื่อว่า "ไมเคิ่ลแองเจโร่" แกะสลักรูปหินอ่อน "กษัตริย์เดวิท" ใช้เวลาเกือบ 5 ปี เสร็จใน ค.ศ.1504 และนำไปตั้งแสดงที่ Palazzo della Signoria (Vecchio)
อะไรคือพิรุธของรูปสลักหินอ่อนนี้
พระคำภีร์ฉบับพันธสัญญาเก่าระบุชัดเจนว่าชาวยิวทั้งหลายสืบเชื้อสายมาจากบรรพชนที่ชื่อว่า "อาบราฮัม" บ้านเดิมเป็นชาวสุเมเรี่ยนอยู่ที่เมืองเออร์ (Ur) ในดินแดนเมโสโปเตเมีย ท่านผู้นี้ได้รับบัญชาจากพระผู้เป็นเจ้าให้ออกเดินทางไปยังดินแดนใหม่ที่ชื่อว่า "คานาน" (Canaan) และสืบเชื้อสายแพร่เผ่าพันธ์ุเป็นชาติใหญ่ ขณะเดียวกันอาบราฮัมมีสัญญา (covenant) กับพระผู้เป็นเจ้าว่าจะต้อง "คลิบปลายอวัยวะเพศ" (circumcision) เพื่อเป็นสัญลักษณ์แห่งคำสัญญา และมีข้อตกลงอย่างมั่นคงว่าลูกหลานของอาบราฮัมทุกคนที่เป็นเพศชายต้องทำการขลิบปลายอวัยวะเพศในวันที่ 8 หลังคลอด ปัจจุบันลูกหลานของอาบราฮัมเรียกตัวเองว่า "ชาวยิว"
ดังนั้น ชาวยิวทุกคนต้องรักษาคำสัญญานี้อย่างเหนียวแน่นและเป็นข้อบัญญัติอย่างหนึ่งของศาสนายูดาห์ "กษัตริย์เดวิท" เป็นลูกหลานสืบเชื้อสายจากอาบราฮัมก็ต้องปฏิบัติอย่างเคร่งครัด

ภาพแสดงการคลิบปลายอวัยวะเพศของ "ไอแซค" (Isaac) ลูกชายของอาบราฮัม ปัจจุบันตั้งแสดงอยู่ที่พิพิธภัณฑ์แห่งเมืองเยรูซาเลม
บันทึกของชาวอียิปส์แสดงถึงการคลิบปลายอวัยวะเพศชายในยุคนั้น
รูปสลักหินอ่อน "กษัตริย์เดวิท" ดูเผินๆก็สวยงามตามศิลปะโรมัน แต่พอซูมภาพเข้าไปที่ "อวัยวะเพศ" เห็นได้ชัดเจนว่า "ไม่มีการขลิบ" ซึ่งผิดหลักศาสนาและธรรมเนียมปฏิบัติของชาวยิว

รูปสลักหินอ่อนกษัตริย์เดวิท "ของเลียนแบบ" (Replica) ตั้งแสดงอยู่ที่หน้า Palazzo Della Signoria (Vecchio)

ซูมภาพเข้าไปใกล้ๆเห็นได้ชัดเจนว่าปลายอวัยวะเพศของกษัตริย์เดวิท "ไม่ได้มีการขลิบ"
อะไรคือเหตุผลที่รูปกษัตริย์เดวิทไม่มีการขลิบปลายอวัยวะเพศ
เชื่อว่าท่านศิลปินหนุ่ม "ไมเคิ่ลแอนเจโร่" มีความรู้เรื่องราวในพระคำภีร์ไบเบิ้ลฉบับพันธสัญญาเก่าที่ว่าด้วยคำสัญญาระหว่าง "อาบราฮัมกับพระผู้เป็นเจ้า" เพราะเรื่องนี้ปรากฏชัดเจนใน Genesis บทที่ 17 ระบุว่า เด็กชายชาวยิวที่เกิดใหม่ทุกคนต้องคลิบปลายอวัยวะเพศในวันที่ 8 แต่ศิลปินท่านนี้ก็ยังไม่สลักรูปกษัตริย์เดวิทให้สอดคล้องกับข้อบัญญัติ เหตุผลประการสำคัญคือชาวโรมัน รวมทั้งชาวกรีกถือว่าชาวยิวคือ "ทาส" เนื่องจากเมื่อสิ้นยุคทองแห่งกรุงเยรูซาเลมอาณาจักรที่ยิ่งใหญ่ของชาวยิวแห่งนี้ถูกครอบครองโดยกรีกและโรมัน การคลิบอวัยวะเพศจึงเป็น "สิ่งต้องห้าม" เพราะเป็นสัญลักษณ์ของทาส ความเชื่อนี้ถูกถ่ายทอดมาถึงชาวอิตาเลี่ยนสมัยของไมเคิ่ลอัลเจโร่
ฉะนั้นถ้าท่านไมเคิ่ลแองเจโร่ไม่ปฏิบัติตามก็คงถูกยกเลิกสัญญา ภาษาปัจจุบันตามระเบียบการจัดซื้อจัดจ้างของสำนักนายกรัฐมนตรีเรียกว่า "ผู้รับเหมาผิดสัญญา" เราๆท่านๆย่อมรู้ดีว่า "ศิลปิน" ไม่ว่ายุคไหนก็ล้วนแต่ประสบกับภาวะ "ไส้แห้ง" เงินค่าจ้างจึงเปรียบเสมือนน้ำเลี้ยงชีวิตที่มีค่ายิ่งกว่าอะไรทั้งสิ้น ถ้าผมมีโอกาสสัมภาษสดๆกับท่านไมเคิ่ลอัลเจโร่ คงจะได้ยินท่านพูดว่า "ลงเรือแป๊ะ ต้องตามใจแป๊ะ"
ดังตัวอย่างเมื่อ ปี 170 BC กษัตริย์ชาวกรีกผู้ครอบครองดินแดนซีเรีย (King Antiochus IV of Syria) ออกคำสั่งเด็ดขาดห้ามประชาชน "คลิบปลายอวัยวะเพศ" ไม่งั้นมีโทษถึงประหารชีวิต ในทำนองเดียวกันจักรพรรดิ์โรมัน Hadrian ก็ออกกฏหมายห้ามประชาชนในสังกัดคลิบปลายอวัยวะเพศ และในการแข่งขันกรีฑาของชาวกรีกผู้เข้าแข่งขันต้องเปลือยกายอย่างล่อนจ้อน และไม่ให้มีการคลิบอวัยวะเพศอย่างเด็ดขาด รากศัพท์ของคำว่า "ยิมเนเซี่ยม" (Gymnasium) มาจากภาษากรีก Gymos แปลว่า "เปลือยกาย" เป็นที่ทราบกันดีว่ากีฬาโอลิมปิกในยุคนั้น "นักกีฬาต้องเปลือยกายเข้าแข่งขัน" เพื่อแสดงความเคารพแด่เทพเจ้าซีอุซ และแสดงความเป็นชายอย่างสง่าผ่าเผย ....... ปัจจุบันถ้ายังเอากติกานี้มาใช้สงสัยวุ่นกันทั้งสนามแน่นอน
รูปซ้ายมือ เป็นการแข่งกรีฑาในอาณาจักรกรีกโบราณที่ผู้เข้าแข่งขันต้อง "เปลือยกายล่อนจ้อน" รูปขวามือคือ King Antiochus IV of Syria ผู้ออกกฏหมายห้ามขลิบอวัยวะเพศอย่างเด็ดขาด มีโทษถึงประหารชีวิต
จุดเด่นของศิลปะกรีกและโรมัน
นักท่องเที่ยวที่ไปเยือนกรีกและโรมจะเห็นภาพวาด รูปหล่อสำริด และรูปแกะสลักหินอ่อน เป็นภาพของผู้ชายหรือเทพเจ้าในลักษณะ "เปลือยกาย" มองเห็นอวัยวะเพศอย่างชัดเจน นี่คือความนิยมของศิลปะในยุคโบราณที่ต้องการเน้นกล้ามเนื้อและรูปร่างอันสง่างาม พวกเขาไม่ได้ถือสาว่าเป็นเรื่อง "อุจาด" หรือ "ลามก" ขนาดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกก็ต้องเปลือยกายไม่งั้นเขาไม่ให้ลงสนาม หลายครั้งนักกีฬาต้องมีเชือกผูกรัดอวัยวะเพศเพื่อป้องกันการแข็งตัวเพราะ "ไม่สุภาพ" อนึ่งเราๆท่านๆที่ไปเที่ยวชมเมืองต่างๆของกรีกและโรมันจะสังเกตว่า "อวัยวะเพศ" ในรูปสลัก รูปวาด และรูปหล่อสำริด "มีขนาดค่อนข้างเล็กกว่าปกติ" นั่นเป็นมารยาทของการแสดงออกซึ่ง "ความสุภาพ" ในแง่มุมศิลปะ บางครั้งก็ใช้ใบมะเดื่อปกปิดไว้พองาม
เมื่อครั้งที่ควีนวิกตอเรียแห่งราชอาณาจักรอังกฤษเสด็จเยือนเมือง Florence ทางราชการที่นั่นต้องเอา "ใบมะเดือ" ไปปิดบริเวณอวัยวะเพศของรูปสลักกษัตริย์เดวิท เพื่อไม่ให้ดู "อุจาด" ในสายตาของสุภาพสตรีระดับวีไอพี
(รูปซ้ายมือ) ทางการเมือง Florence นำใบมะเดื่อ (Fig Leaf) ปิดบังอวัยวะเพศเป็นการชั่วคราวเพื่อต้อนรับการเสด็จของพระราชินีวิคตอเรีย (รูปขวามือ) เป็นภาพปกติของกษัตริย์เดวิท ที่ให้นักท่องเที่ยวทั่วไปได้เยี่ยมชม
สรุป
รูปสลักหินอ่อนของกษัตริย์เดวิทที่เมือง Florence Italy มีเหตุผลการเมืองและการเหยียดเชื้อชาติเข้ามาแทรกจนท่านเดวิทตัวจริงอาจไม่ยอมรับ (ถ้าท่านฟื้นขึ้นมาได้) และพิสูจน์ว่า "เงินตรา" มีค่าเหนือกว่า "อุดมการ" ก็อย่างว่าละครับเรื่องเงินเรื่องทองมันไม่เข้าใครออกใคร ผู้คนจำนวนไม่น้อยในประเทศต่างๆก็ยังตกอยู่ในวงจรอันเร่าร้อนของ "อำนาจเงิน" คำสอนของพุทธองค์ที่ว่าด้วยกิเลสจึงเป็นสัจธรรมที่มนุษย์หลีกหนีไม่พ้นตราบที่เราๆท่านๆยังไม่บรรลุอย่างแท้จริง .......... สาธุ