ราหู......โอสถอมฤต......สนามบินสุวรรณภูมิ
ทุกครั้งที่เดินทางไปต่างประเทศผ่านสนามบินสุวรรณภูมิ อดไม่ได้ที่ต้องถ่ายรูป "พิธีกวนน้ำอมฤต" (Churning of the sea of milk) เพื่อนๆที่ร่วมเดินทางมักถามว่า "ทำไมต้องมีสิ่งนี้" ที่สนามบินของเรา.....ก็ต้องอธิบายแบบฉายหนังซ้ำเรื่องเดิมทุกครั้ง
ช่วงเดือนเมษายน 2557 ผมกับภรรยาต้องมาอยู่ที่อเมริกาเพื่อเยี่ยมลูกและหลาน เผอิญวันที่ 15 เมษายน 2557 เกิดปรากฏการณ์ "จันทรุปราคาเต็มดวง" มองเห็นได้เฉพาะทวีปอเมริกาเหนือและอเมริกาใต้ (เมืองไทยไม่เห็น) จึงได้ฤกษ์เขียนเรื่องนี้สักที
รูปปั้นขนาดใหญ่ "พิธีกวนน้ำอมฤต" ที่สนามบินสุวรรณภูมิ เป็นสิ่งสะดุดตาต่อผู้โดยสารจำนวนมาก หลายคนต้องถ่ายรูปเป็นที่ระลึก จริงๆเรื่องนี้เป็นวรรณกรรมเกี่ยวกับศาสนาฮินดูในประเทศอินเดียแต่พี่ไทยรับความเชื่อนี้มาเต็มๆและยังเป๊ะเว่อร์มากกว่าอินเดียด้วยซ้ำ

คืนวันที่ 14 เมษายน ต่อเนื่องถึงตีสี่ของวันที่ 15 เมษายน 2557 เกิดปรากฏการณ์ "จันทรุปราคาเต็มดวง" มองเห็นได้แบบจะจะเฉพาะทวีปอเมริกาเหนือ และทวีปอเมริกาใต้ เท่านั้น ส่วนประเทศในเอเซียแถบมหาสมุทรแปซิฟิกอาจเห็นเป็นบางส่วน แต่ประเทศไทยไม่เห็นแม้แต่เงา

ผมอยู่ที่บ้านชื่อเมือง Broken Arrow รัฐ Oklahoma USA จึงเห็นปรากฏการณ์นี้แบบจัดเต็ม

ยอมทนหนาวชนิดอุณหภูมิติดลบออกไปยืนถ่ายรูปปรากฏการณ์นี้คนเดียวท่ามกลางความมืด

ตอนหัวค่ำพระจันทร์ยังเต็มดวงผมถือโอกาสถ่ายรูป "ดาวอังคาร" ที่เข้ามาใกล้โลกไปพลางๆก่อนดีกว่าอยู่เปล่าๆ

กราฟิกแสดงการเกิดปรากฏการณ์ "จันทรุปราคาเต็มดวง"
.jpg)
เมื่อดวงจันทร์เคลื่อนเข้าสู่เงามืดของโลก (Umbra) แสงสะท้อนจากโลก (Earthshine) ทำให้มองเห็นดวงจันทร์เป็นสีเลือด

ภาพกราฟิกแสดงเฟสต่างๆของการเกิดจันทรุปราคราเต็มดวง คืนวันที่ 15 เมษายน 2557 มุมมองจากรัฐโอคลาโฮม่า ประเทศสหรัฐอเมริกา
ราหู.....กับน้ำอมฤต.....เกี่ยวข้องกันอย่างไร
ฟังดูแล้วสองเรื่องนี้ไม่น่าเกี่ยวข้องกัน....แต่ถ้าย้อนไปดูตำนานอินเดียโบราณราหูกับน้ำอมฤตเป็นเรื่องเดียวกัน ดังนี้ครับ
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว "พระอินทร์" ทรงช้างเอราวันเดินเที่ยวไปตามเส้นทางและได้พบกับฤาษีชื่อ "ดูวาสะ" ท่านฤาษีมีความดีใจที่ได้พบกับพระอินทร์จึงถวายช่อดอกไม้ให้ พระอินทร์รับช่อดอกไม้และวางไว้บนงวงช้างเอราวันแต่ไม่ทราบว่าอะไรเกิดขึ้นช้างเอราวันสบัดช่อดอกไม้ตกลงพื้นดิน ฤาษีดูวาสะโกรธพระอินทร์อย่างมากเพราะถือว่าดูถูกกันอย่างแรง จึงสาปแช่งพระอินทร์ให้เสื่อมอำนาจและฤทธิ์เดชทั้งมวลคำสาปนี้ยังลามปามไปถึงทวยเทพทั้งหลายในสวรรค์ คำสาปของท่านฤาษีมีผลให้บรรดาทวยเทพทั้งหลายอ่อนล้าในฤทธิ์เดชเมื่อต่อสู้กับเหล่าอสูรครั้งใดก็พ่ายแพ้อย่างราบคาบ ขืนปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไปบรรดาเทพจะยิ่งตกที่นั่งลำบากมากขึ้น จึงพร้อมใจกันไปปรึกษาพระวิศนุว่าจะแก้ไขอย่างไร พระวิศนุพิจารณาแล้วมีความเห็นว่าทวยเทพเหล่านี้ต้องไปหา "น้ำอมฤต" มาดื่มให้กลับคืนสภาพเดิม แต่การจะได้น้ำอมฤตต้องไปกวนทะเลน้ำนมโดยใช้ "ภูเขามันทาระ" เป็นอุปกรณ์ และใช้พญานาค "วาสุกรี" เป็นเชือกพันรอบๆเพื่อดึงให้ภูเขามันทาระหมุน แต่พอจะเริ่มทำงานจริงๆก็เกิดปัญหาจำนวนลี้พลของทวยเทพไม่พอเพียงจำเป็นต้องไปเจรจาขอร้องเหล่าอสูรให้มาช่วยโดยสัญญาว่าจะแบ่งน้ำอมฤตให้ฝ่ายละครึ่ง อสูรก็ตกลงเพราะต้องการน้ำอมฤตเช่นกันและฟังกติกาแล้วเห็นว่า win win แต่พระวิศนุกับเหล่าเทพมีสัญญาลับๆว่าจะไม่แบ่งน้ำอมฤตให้อสูร ภาษานักเลงเรียกว่า "หลอกกินฟรี" แถมยังยุให้ฝ่ายอสูรอยู่ทางด้านหัวพญานาคส่วนเหล่าเทพอยู่ด้านหาง อสูรก็หลงดีใจที่ได้รับเกียรติให้อยู่ด้านหัว

ภาพสลักพระอินทร์ทรงช้างเอราวันพบได้ทั่วไปตามปราสาทขอม และปราสาทที่สร้างในยุคอารยธรรมก่อนอาณาจักรขอม อย่างภาพนี้อยู่ที่ปราสาทวัดภู แขวงจัมปาสัก สปป.ลาว

ปราสาทนารายณ์เจงเวง ที่อำเภอเมืองสกลนคร ก็มีภาพสลักพระอินทร์ทรงช้างเอราวันที่ทับหลังประตูทิศตะวันออก

ฤาษีดูวาสะมีชื่อเสียงเรื่องเวทย์มนต์ในตำนานอินเดียโบราณ

ปราสาทขอมเกือบทุกแห่งมีภาพสลักฤาษีเฝ้าอยู่ตามประตู เช่น ปราสาทนารายณ์เจงเวง อำเภอเมืองสกลนคร

ภาพวาดการต่อสู้ระหว่างทวยเทพกับเหล่าอสูรและลงเอยด้วนเทพเป็นฝ่ายปราชัย

ทวยเทพและเหล่าอสูรช่วยกันกวนทะเลน้ำนมเพื่อให้เกิดน้ำอมฤต ในภาพจะเห็นว่าฝ่ายอสูรอยู่ด้านหัวพญานาค

ภาพสลักพิธีกวนทะเลน้ำนมเพื่อให้ได้น้ำอมฤตที่ระเบียงคตด้านทิศตะวันออกของปราสาทนครวัด
ระหว่างพิธีกวนทะเลน้ำนมท่านพญานาควาสุกรีเกิดอาการเหนื่อยจึงพ่นพิษออกมา ฝ่ายอสูรซึ่งอยู่ด้านหัวจึงรับพิษไปเต็มๆแต่ก็พยายามกัดฟันอดทน พระศิวะเห็นเหตุการณ์ทำท่าไม่ดีขืนปล่อยให้อสูรโดนพิษมากๆเข้าอาจล้มตายหมดจะเสียพิธี ท่านจึงยอมกินพิษเหล่านั้นด้วยตนเองเป็นเหตุให้คอพระศิวะกลายเป็นสีดำ ผลพลอยได้ของพิธีนี้มีมากมายสิ่งที่เห็นได้ชัดเจนก็คือ "นางอัปสร" เกิดขึ้นมาจำนวนมากกลายเป็นที่ต้องตาต้องใจเหล่าเทพและอสูร แต่ระหว่างนั้นน้ำหนักของภูเขามันทราระทำให้เกิดการทรุดตัวร้อนถึงพระวิศนุต้องอวตาร (แปลงกาย) ลงมาเป็น "อวตารกอร์มะ" (เต่ายักษ์) ช่วยหนุนภูเขาไม่ให้จมทะเล
.jpg)
พระศิวะยอมดื่มพิษร้ายจากพญานาควาสุกรีเพื่อให้พิธีดำเนินต่อไปอย่างราบรื่น

ผลพลอยได้จากพิธีกวนทะเลน้ำนมได้นางอัปสรและอื่นๆอีกมากมาย
.jpg)
พระวิศนุแปลงกายเป็นเต่ายักษ์ "อวตารกอร์มะ" เข้ามาหนุนภูเขามันทราระ
ในที่สุดพิธีก็ดำเนินมาถึงจุดสุดยอด "น้ำอมฤต" พุ่งขึ้นมา แต่ฝ่ายอสูรเห็นก่อนจึงคว้าเอาไปครอบครองและทำท่าจะไม่ยอมแบ่งให้เหล่าเทพ พระวิศนุจึงรีบแปลงกายเป็นสาวสวยชื่อ "โมฮินี" ยั่วยวนอสูรให้หลงไหลและชักชวนให้อสูรมอบน้ำอมฤตให้ แน่ละครับอสูรก็เหมือนชายหนุ่มทั่วไปที่ตกหลุมพลางสาวๆสวยๆได้ง่าย จึงยอมมอบน้ำอมฤตให้นางโมฮินีและนางก็รีบส่งให้ทวยเทพรับเอาไปดื่มขณะที่เหล่าอสูรนั่งมองตาปริบๆคิดในใจว่า "กูไม่น่าถูกหลอกเลย" รู้งี้กูรีบดื่มให้มันหมดรู้แล้วรู้รอดไป
อย่างไรก็ตามเรื่องยังไม่จบง่ายๆ อสูรตนหนึ่งชื่อ "ราหู" หมอนี่เจ้าเล่ห์รีบแปลงกายเป็นเทพไปนั่งปะปนอยู่ในแถวเพื่อรอดื่มน้ำอมฤตและก็ได้ดื่มสมใจอยากจริงๆ แต่ความเกิดแตกขึ้นมาเพราะเทพชื่อ "จันทรา" กับ "สุริยา" มองเห็นพฤติกรรมของราหูจึงรีบร้องบอกพระวิศนุ พระวิศนุรีบขว้างจักรไปตัดคอราหูเพื่อไม่ให้น้ำอมฤตตกถึงท้อง แต่ก็ช้าไปนิดแม้ว่าตัวของราหูถูกทำลายแต่ส่วนหัวได้รับน้ำอมฤตไปแล้วจึงไม่ตายและกลายเป็นอมตะมีฤทธิ์เดชสามารถเหาะไปไหนก็ได้ใครฆ่าก็ไม่ตายกลายเป็น "พญาราหู" และแค้นนี้ต้องชำระ ราหูผูกพยาบาทเทพจันทราและเทพสุริยา ทุกครั้งที่เจอหน้ากันจะต้องเข้าไปอมเพื่อกลืนกินเทพทั้งสองให้สมแค้น.........เป็นที่มาของปรากฏการณ์ "จันทรุปราคา" และ "สุริยุปราคา" ที่เราๆท่านๆเรียกเล่นๆว่า "ราหูอมจันทร์"

พระวิศนุแปลงกายเป็นสาวสวยชื่อ "โมฮินี" ยั่วยวนให้อสูรหลงไหลและยอมมอบน้ำอมฤตให้
พระวิศนุในร่างของนาง"โมฮินี" ขว้างกงจักรตัดคอ "ราหู" ที่แปลงกายมาเป็นเทพเพื่อหลอกกินน้ำอมฤต
พระวิศนุขว้างจักรตัดคอ "ราหู" เพื่อไม่ให้กลืนน้ำอมฤตลงคอ แต่ช้าไปนิดหัวของราหูกลายเป็นอมตะไปเรียบร้อยแล้วเพราะได้สัมผัสกับน้ำอมฤต
ราหูแค้นใจเทพจันทราและเทพสุริยา เมื่อเจอครั้งใดต้องปรี่เข้ามาอมเพื่อกลืนกินเป็นที่มาของ "ราหูอมจันทร์"
แม้ราหูจะเป็นตัวร้ายในตำนานอินเดีย แต่คนไทยจำนวนไม่น้อยก็บูชาราหูเพื่อสะเดาะเตราะห์
เรื่องนี้มาลงตัวที่สนามบินสุวรรณภูมิ....เพื่อวัตถุประสงค์ใด
เป็นที่ยอมรับว่าคนไทยจำนวนมากมีคำพูดติดปาก "ไม่เชื่อก็อย่าลบหลู่" และวนเวียนอยู่กับโชคชะตาราศี รวมทั้งเรื่องราวที่เกี่ยวกับความเป็น "ศิริมงคล" แม้ว่าพุทธองค์ได้สอนให้พวกเราทั้งหลายเชื่อมั่นในคำสอนที่เป็นสัจจธรรมไม่ให้หลงงมงายในสิ่งที่พิสูจน์ไม่ได้ แต่ก็ต้องยอมรับความเป็นจริงที่คนไทยรับทั้งศาสนาพุทธ ศาสนาพราหมณ์ โดยมีความเชื่อเรื่องผีเป็นพื้นฐาน ทุกอย่างจึงผสมผสานกันจนแยกไม่ออกไม่เชื่อท่านลองไปดูตอน ฯพณฯ รัฐมนตรีเข้าทำงานวันแรกก็ต้องบนบานสานกล่าว หลายท่านต้องเอาพราหมณ์มาทำพิธี หลายท่านเอาซินแสชื่อดังมาพิจารณาฮวงจุ้ยสถานที่ทำงาน มักมีข่าวออกมาหลายครั้งว่าต้องเปลี่ยนพรมและม่านหน้าต่างใหม่ทั้งหมดเพราะสีของสิ่งเหล่านั้น "ไม่ถูกโฉลก" ขืนนั่งต่อไปเก้าอี้อาจหลุดได้ง่ายๆ
ผมเชื่อเป็นการส่วนตัวว่าผู้ใหญ่ที่สร้างสนามบินสุวรรณภูมิก็ไม่ต่างกับคนไทยจำนวนมาก ท่านคงมั่นใจว่า "พิธีกวนทะเลน้ำนม เพื่อให้ได้น้ำอมฤต" เป็นสิ่งมงคลอย่างยิ่งต่อสนามบินแห่งนี้ และที่แน่ๆย่อมส่งผลมาถึงความมั่นคงของตำแหน่งหน้าที่ จึงสั่งการให้สร้างรูปปั้นขนาดใหญ่ไว้ที่กลางทางเดิน Departure Terminal สนามบิน......เรื่องทั้งหมดก็เป็นฉะนี้แล......ขอให้ท่านชมภาพถ่ายพิธีกวนทะเลน้ำนมในหลายมุมกล้อง
.jpg)
.jpg)
.jpg)

.jpg)
ที่สนามบินกรุงพนมเป็ญ ประเทศกัมพูชา ก็มีรูปพิธีกวนน้ำอมฤตแต่ของเขาไม่อลังการเท่ากับสนามบินสุวรรณภูมิ