ดาราศาสตร์ที่เราเห็น........ล้วนเป็นภาพลวงตาทั้งน้านละคุณลุง
ที่พาดหัวแบบนี้เพราะต้องการสื่อให้ท่านผู้อ่านได้มาถึงบางอ้อว่า สิ่งที่เราๆท่านๆมองเห็นบนท้องฟ้าล้วนเป็น "ภาพลวงตา" อันเนื่องมาจากเหตุ 6 ประการคือ
1.มิติแห่งระยะทางและการเดินทางของแสง........ดวงดาวทุกดวงบนท้องฟ้าที่เรามองเห็นในปัจจุบัน "เป็นภาพในอดีต" ทั้งสิ้นเพราะกว่าภาพที่เป็นจริงจะเดินทางมาถึงโลกก็ต้องกินเวลานับหลายล้านปีแสง ดวงดาวนับล้านที่เห็นอยู่ทุกค่ำคืนอาจจะระเบิดหรือดับสูญไปนานแล้วก็ได้แต่ภาพการระเบิดยังเดินทางมาไม่ถึงเรา ขนาดดวงอาทิตย์อยู่ในระบบสุริยะเดียวกันต้องใช้เวลาถึง 8 นาที ดาวอังคารอยู่ในระบบสุริยะตำแหน่งถัดไปจากโลกมีระยะห่างระหว่าง 36 - 250 ล้านไมล์ (ขึ้นอยู่กับตำแหน่งในวงโคจร) ต้องใช้เวลา 3.2 - 22.4 นาที ภาพของดาวอังคารจะมาถึงโลก ดังนั้นภาพดวงดาวต่างๆที่เราเห็นเป็นภาพในอดีตอันไกลโพ้น เช่น ดาวฤกษ์อัลฟ่า เซนเทารี่ ห่างจากโลก 4.24 - 4.37 ปีแสง และ ดาวฤกษซีรีอุส อยู่ห่าง 8.58 ปีแสง


ภาพดวงอาทิตย์ที่มองเห็นเป็นอดีตเมื่อ 8.31 นาทีที่แล้ว เพราะกว่าแสงอาทิตย์จะเดินทางมาถึงโลกต้องใช้เวลาขนาดนั้น

ดาวฤกษ์ที่เราๆท่านๆเห็นอยู่ทุกค่ำคืนล้วนเป็นภาพในอดีตที่ไกลโพ้นนับล้านและหลายล้านปีแสง

ดาวฤกษ์ที่อยู่ใกล้โลกมากที่สุดคือ ดาวอัลฟ่า เซนเทารี่ (Alpha Centauri) 4.24 - 4.37 ปีแสง

ดาว "ซีรีอุส" อยู่ในกลุ่มดาวหมาใหญ่ เป็นดาวฤกษ์ที่มองเห็นใหญ่ที่สุดในบรรดาดาวฤกษ์ทั้งหมด


การระเบิดของดาวฤกษ์ที่เรียกว่าซุบเป่อร์โนว่าก็กินเวลานับหลายล้านปีแสงจึงจะส่งภาพมาให้ชาวโลกเห็น

เนบิวล่ารูปร่างเหมือนปู (Crab Nebula) เป็นการระเบิดของดาวฤกษ์ที่จบสิ้นไปแล้วเหลือแต่แสงเจิดจ้าสวยงาม ชาวโลกมนุษย์ต้องใช้เวลารอนานถึง 6,500 ปีแสง จึงจะได้ยลโฉมอันตระการตาของมัน
.jpg)
มีข่าวแพลมออกมาว่ามนุษยชาติจะได้เห็นดวงชนกันจนระเบิดในราวๆปี 2022 แต่ในความจริงมันชนกันเรียบร้อยแล้วเมื่อ 1800 ปีแสง แต่แสงการระเบิดเพิ่งจะเดินทางมาถึงโลก
.jpg)
นักดาราศาสตร์ระบุว่าดาวที่ชนกันดังกล่าวอยู่ในกลุ่มดาวหงษ์ (Cygnus Constellation)
2.ตำแหน่งการเรียงตัว ดาวฤกษ์ที่เราเห็นและตั้งชื่อเป็นกลุ่มดาวนั้นกลุ่มดาวนี้ ไม่ได้อยู่ในระนาบเดียวกันแบบที่เห็น ดาวฤกษ์เหล่านั้นอยู่กันคนละระนาบแต่เมื่อมองจากระยะไกลเราจึงเห็นเป็นภาพอยู่ในระนาบเดียวกัน ดังตัวอย่างกลุ่มดาวนายพราน (Orion Constellation) และกลุ่มดาวกางเขนใต้ (Southern Cross Constellation)



กลุ่มดาวนายพราน (Orion Constellation) ประกอบด้วยดาวฤกษ์หลายดวงอยู่กันคนละระนาบแต่เรามองเห็นเหมือนเป็นฉากแบนๆซึ่งเป็นภาพลวงตา



ดาวกางเขนใต้ (Southern Cross) เป็นกลุ่มดาวที่ประเทศในซีกโลกใต้โดยเฉพาะอย่างยิ่งออสเตเรีย และนิวซีแลนด์ ใช้เป็นดาวนำทางที่ชี้ทิศใต้ (เนื่องจากในบริเวณนั้นมองไม่เห็นดาวเหนือ) ประเทศทั้งสองจึงนำภาพกลุ่มดาวกางเขนใต้ไปไว้ในธงชาติ

ไม่ใช่เฉพาะดาวฤกษ์เท่านั้นนะครับ ดาวเคราะห์ก็เรียงตัวเป็นภาพลวงตาได้เช่นกัน เช่น ระหว่างวันที่ 26 - 27 พฤษภาคม 2556 ดาวเคราะห์สามดวงคือ ดาวพฤหัส ดาวศุกร์ และดาวพุธ เรียงตัวเป็นรูปสามเหลี่ยนมสวยงามที่ท้องฟ้าทิศตะวันตกเฉียงเหนือหลังดวงอาทิตย์ตกดิน
.jpg)
จริงๆแล้วดาวเคราะห์ทั้งสามดวงไม่ได้เรียงตัวเป็นรูปสามเหลี่ยม แต่ทั้งสามวางตัวอยู่ในระนาบเดียวกันทำให้มองเห็นเป็นภาพสามเหลี่ยม
.jpg)
ดาวศุกร์คู่กับดาวพฤหัส ดูเหมือนอยู่ใกล้กัน
.jpg)
แต่ในความเป็นจริงดาวศุกร์และดาวพฤหัสอยู่ไกลกันคนละมุมของระบบสุริยะ
.jpg)
ดาวเคียงเดือน conjunction of Saturn Moon Venus Jupiter 29 Nov 2019 (Cr:ขอบคุณ ดร.สพสันติ์ เพชรคำ สำหรับภาพถ่ายดาวเคียงเดือน)
.jpg)
ตำแหน่งจริงการวางตัวของดาวเคียงเดือน Saturn Moon Venus Jupiter 29 Nov 2019
3.การเคลื่อนที่เสมือน (Apparent motion) ทุกๆวันเราๆท่านๆเห็นดวงอาทิตย์ขึ้นทางตะวันออกและตกทางตะวันตก แต่ในความเป็นจริงดวงอาทิตย์อยู่เฉยๆไม่ได้เคลื่อนที่ไปไหนเลย โลกของเราหมุนรอบตัวเองจึงทำให้เกิดภาพลวงตาว่าดวงอาทิตย์เคลื่อนที่ขึ้นและตก



ขณะเดียวกันเรามองเห็นดวงอาทิตย์ยามเช้าเปลี่ยนตำแหน่งไปมาระหว่างทิศเหนือและทิศใต้ เช่น ฤดูร้อนดวงอาทิตย์ขึ้นที่ขอบฟ้าด้านทิศเหนือ ส่วนฤดูหนาวดวงอาทิตย์ขึ้นที่ขอบฟ้าด้านทิศใต้ นี่ก็ภาพลวงตาเช่นกัน เนื่องจากโลกโคจรรอบดวงอาทิตย์ในลักษณะเอียงประมาณ 23.5 องศา จึงทำให้มองเห็นเป็นอย่างนั้น





4. ภาพลวงตา "เชิงมุม" (angular diameter) หมายถึงดวงดาวที่อยู่ใกล้จะดูเหมือนมีขนาดใหญ่กว่าดวงดาวที่อยู่ไกล เช่น ภาพของดาวศุกร์ดูใหญ่ดาวพฤหัสทั้งๆที่ดาวศุกร์เล็กกว่าดาวพฤหัสหลายเท่าแต่อาศัยว่าอยู่ใกล้โลกมากกว่า อีกตัวอย่างหนึ่งดวงจันทร์ก็สามารถบังดวงอาทิตย์ได้มิดทั้งดวงจึงเกิดปรากฏการณ์ "สุริยุปราคา" เรื่องแบบนี้คนโบราณมีคำพูดว่า "เส้นผมบังภูเขา"
.jpg)
วัตถุที่อยู่ไกลจะดูเล็กกว่าวัตถุที่อยู่ใกล้ ตามหลักการฟิสิกซ์ที่เรียกว่า "ภาพลวงตาเชิงมุม" (angular diameter)
.jpg)
ปรากฏการณ์สุริยุปราคาเกิดจากดวงจันทร์อยู่ใกล้โลกมากกว่าดวงอาทิตย์ทำให้สามารถบังภาพดวงอาทิตย์ได้ทั้งดวง
5. ภาพลวงตาจากมุมมองที่ต่างกัน
ภาพที่ชินตาของดวงจันทร์ที่เราๆท่านๆเห็นอยู่แทบทุกคืนและถูกนำไปใช้เป็น "ปฏิทินจันทรคติ" (Lunar Calendar) โดยใช้ข้างขึ้น เต็มดวง ข้างแรม และเดือนมืด เป็นตัวกำหนดวันในปฏิทิน แต่ในความเป็นจริง "ดวงจันทร์เต็มดวงทุกวัน" เพราะรับแสงอาทิตย์ตลอดเวลา แต่ภาพที่เราเห็นเกิดจาก "มุมมองที่แตกต่างในแต่ละวัน" เนื่องตำแหน่งของโลกกับดวงจันทร์เปลี่ยนไป อย่างไรก็ตามดวงจันทร์ "มืดจริงๆ" ก็มีเพียงปรากฏการณ์ "จันทรุปราคา" เกิดจากเงาของโลกบังดวงจันทร์จนมิด
ตำแหน่งของดวงจันทร์ในแต่ละคืนเปลี่ยนไปทำให้มุมมองจากโลกเปลี่ยนไปจึงเห็นภาพเป็นข้างขึ้น เต็มดวง ข้างแรม และเดือนมืด
มุมมองที่ทำให้เห็นเป็น Full Moon

มุมมองจากซีกโลกด้านใต้ เช่น เกาะทัสมาเนีย ออสเตเรีย กับมุมมองจากซีกโลกด้านเหนือที่จังหวัดสกลนคร ประเทศไทยก็หันไปคนละทาง

ในปรากฏการณ์ "จันทรุปราคา" ภาพการเคลื่อนตัวของดวงจันทร์ออกจากเงามืดระหว่างออสเตเรีย กับประเทศไทย ก็เคลื่อนไปคนละทาง
6.ภาพลวงตาจากการมองผ่านสิ่งปนเปื้อนในอากาศ
ทุกๆเช้าและเย็นภาพของดวงอาทิตย์เป็นสีแดง และดวงจันทร์ในตอนเย็นก็มีขนาดใหญ่กว่าปกติและมีสีออกแดงนิดๆ เป็นเพราะมองผ่านสิ่งปนเปื้อนในอากาศที่ระดับขอบฟ้า เช่น ฝุ่น และหมอก ประกอบกับการหักเหของแสงจึงทำให้ภาพของดวงจันทร์ดูใหญ่ขึ้นกว่าปกติ
.jpg)
.jpg)
ทุกท่านที่เรียนวิชาดาราศาสตร์จึงถูกธรรมชาติแหกตาแบบลูกไม้ตื้นๆ ผมเคยทดสอบกับนักเรียนมัธยมโดยถามว่าภาพที่เราเห็นเป็นของจริงหรือไม่ แน่นอนครับทุกคนตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า "ของจริง" พอผมแย้งว่านั่นเป็นภาพลวงตาทั้งหมด เด็กๆทำหน้าเบ้เหมือนไม่เชื่อแต่พอฟังคำอธิบายด้วยหลักวิทยาศาสตร์แล้วก็ต้องจนมุมด้วยหลักฐาน ดังนั้น สิ่งที่ตาเห็นอยู่โทนโท่ก็ไม่ใช่ของจริงเสมอไป ถ้าเอาเรื่องนี้ขึ้นโรงขึ้นศาลคงยุ่งพิลึก
ท้ายที่สุดปรากฏการณ์ดาราศาสตร์ก็เป็นส่วนหนึ่งของจินตนาการที่มนุษยชาติสร้างขึ้นมาอย่างมีสีสัน เช่น ตัวอย่าง "พระจันทร์สีน้ำเงิน" (blue moon) หมายถึงการมี full moon 2 ครั้งในเดือนเดียวกัน ซึ่งนานๆจะเกิดขึ้นสักครั้ง ดังสำนวนภาษาอังกฤษ once in a blue moon เมื่อวันที่ 31 กรกฏาคม 2558
สรุป
เมื่อทราบแล้วว่าดวงดาวทั้งมวลที่เราๆท่านๆเห็นบนท้องฟ้าล้วนเป็นภาพลวงตาทั้งสิ้น ...... คำสาบานใดๆที่กระทำต่อดวงดาวเหล่านั้นก็คงจะเป็นภาพลวงตาเช่นกัน พุทธองค์ท่านจึงสอนว่า .... ทุกอย่างอยู่ที่ตัวเราเองไม่ต้องหวังพึ่งสิ่งอื่นๆ ..... สาธุ