มองหมากเม่า....ผ่านมิติดาราศาสตร์
มรดกล้ำค่าจากธรรมชาติ
เป็นที่ทราบดีในหมู่ผู้สนใจทางวิชาการด้านธรณีวิทยาและวิวัฒนาการ แผ่นดินที่เรียกว่า “แอ่งสกลนคร” ถือกำเนิดขึ้นมาในยุคหลังจากไดโนเสาร์สูญพันธุ์ไปแล้วเมื่อ 65 ล้านปีก่อน บางส่วนของแผ่นดินผืนนี้ได้ถูกดันให้ยกตัวขึ้นเป็นภูเขาและที่ราบสูง สลับกับพื้นที่ราบลุ่ม สภาพทางภูมิศาสตร์เช่นนี้ทำให้มีวิวัฒนาการสร้างพันธุ์พืช พันธุ์สัตว์ชนิดต่างที่เหมาะสมต่อสภาพแวดล้อม
ขบวนการคัดสรรของธรรมชาติ (natural selection ) ดำเนินไปอย่างต่อเนื่องเพื่อสร้างผู้เหมาะสมที่สุดให้อยู่รอดตามทฤษฎีของท่าน “ชาลส์ ดาร์วิน” หมากเม่าถูกเลือกให้เป็นไม้ป่าชนิดหนึ่งที่เหมาะสมกับสภาพของเทือกเขาภูพานภายใต้สภาพป่าร้อนชื้นสลับกับความแห้งและหนาวเย็น อยู่สูงจากระดับน้ำทะเลมากกว่า 250 เมตร หลายล้านปีต่อมาหมากเม่าได้กลายเป็นพืชพื้นเมืองที่อยู่คู่กับชาวสกลนครอย่างสง่าผ่าเผย


ยุคของไดโนเสาร์มีชื่อว่า "เมโสโซอิก" (Mesozoic) ระหว่าง 250 - 65 ล้านปี

พื้นที่ภาคอีสานตอนบนที่อยู่ระหว่างเทือกเขา ภูพานและแม่น้ำโขง ถูกตั้งชื่อว่า “แอ่งสกลนคร” เป็นต้นกำเนิดของหมากเม่าคุณภาพดีที่สุดในแง่ของรสชาด กลิ่น สี และคุณค่าสารอาหาร แม้ว่าปัจจุบันได้มีการขยายพันธุ์ออกไปเพาะปลูกยังจังหวัดต่างๆในเชิงพาณิชย์ แต่หากมองในแง่มุมของคำว่า “ขนานแท้และดั่งเดิม” ก็ต้องมาที่สกลนคร
หมากเม่าสุดยอดแห่งผลไม้จาก “พลังสุริยะ”
ถ้าพูดตามหลักวิชาการก็ต้องเรียกหมากเม่าว่าเป็นพืชประเภท “ไวแสง” (photosensitive plant) หรือเข้าใจตามภาษาชาวบ้านว่า "พืชติดดอกและออกผลตามฤดูกาล” เพราะจะเริ่มสะสมอาหารตั้งแต่ปลายฤดูฝนประมาณเดือนตุลาคม ถูกกระตุ้นด้วยความหนาวบวกกับอากาศแห้งเดือนมกราคมจะเริ่มออกดอกประมาณกลางเดือนกุมภาพันธ์ ภาษาดาราศาสตร์เรียกว่า “ช่วงกลางวันสั้น กลางคืนยาว” ดอกเริ่มบานในเดือนมีนาคมเป็นช่วงที่แสงจากดวงอาทิตย์กำลังเปลี่ยนมุมไปตั้งฉากกับแกนโลกที่เส้นศูนย์สูตร เรียกว่า “วสัตวิษุวัต” หรือฤดูใบไม้ผลิ กลางวันเท่ากับกลางคืน หลังจากนี้ความเข้มข้นของพลังแสงอาทิตย์เริ่มทวีขึ้นเรื่อยๆ ขณะเดียวกันผลหมากเม่าก็เจริญเติบโตและสะสมธาตุอาหารมากขึ้นเนื่องจากต้นแม่ต้องคายน้ำถี่ขึ้นทำให้มีการดูดน้ำและสารอาหารจากดินในอัตราสูง ประกอบกับแอ่งสกลนครโดยเฉพาะอย่างยิ่งบนเทือกเขาภูพานมีสารอาหารและแร่ธาตุที่เป็นประโยชน์สะสมอยู่มาก
8 พฤษภาคม ดวงอาทิตย์อยู่ในตำแหน่งตรงศรีษะที่จังหวัดสกลนคร ก่อนจะเยื้องไปทางทิศเหนือถึงจุดสูงสุดวันที่ 21 มิถุนายน และย้อนกลับมาตรงศรีษะอีกครั้งวันที่ 5 สิงหาคม ช่วงระหว่างวันที่ 8 พฤษภาคม ถึง 5 สิงหาคม หมากเม่าได้รับพลังสุริยะชนิดที่เรียกว่า “จัดเต็มๆ” ถ้าเป็นวงการหมัดมวยก็ต้องเรียกว่าชกในสไตล์ไฟต์เต้อร์ “เดินหน้าลูกเดียว” ครั้นย่างเข้ากลางเดือนกันยายนผลหมากเม่าเริ่มสุกแก่ ทางดาราศาสตร์เรียกว่า “ศารทวิษุวัต” (autumnal equinox) หรือฤดูใบไม้ร่วง เป็นช่วงกลางวันเท่ากับกลางคืนอีกครั้งหนึ่งและเป็นการเตรียมตัวเข้าสู่ฤดูหนาว

ช่วงวันที่ 8 พฤษภาคม ถึง 5 สิงหาคม หมากเม่าจะได้รับพลังสุริยะสูงสุดทำให้เกิดการสะสมสารอาหารในผลเม่าอย่างเต็มที่ เนื่องจากต้นแม่ต้องคายน้ำอย่างถี่ยิบทำให้เร่งการดูดสารอาหารจากดิน

งานวิจัยด้วยตัวเองที่บ้าน
เพื่อให้การเก็บข้อมูลมีความแม่นยำ จึงต้องซื้อกิ่งพันธ์ุหมากเม่ามาปลูกในกระถางขนาดใหญ่ที่บ้านตั้งแต่ปี 2550 เพื่อเฝ้าดูการเจริญเติบโตอย่างใกล้ชิดตามปฏิทินดาราศาสตร์

ซื้อกิ่งพันธ์ุที่ติดลูกแล้วมาปลูกในกระถางเพื่อย่นระยะเวลาการวิจัย เพราะถ้าใช้กิ่งพันธ์ุที่ยังไม่เคยติดลูกมาปลูกจะต้องรออย่างต่ำ 3 ปี จึงจะเริ่มเห็นผล

ต้นเม่าอายุประมาณ 1 ปี หลังจากปลูก
เจริญเติบโตได้ดีมากในกระถาง



การติดดดอกและออกผลของหมากเม่าตามปฏิทินดาราศาสตร์

ปลูกต้นหมากเม่าไว้ที่บ้าน (หมู่บ้านอารียา 1 ถนนเฉลิมพระเกียรติ ต.ธาตุเชิงชุม อ.เมืองสกลนคร) เพื่อศึกษาการเจริญเติบโตตามปฏิทินดาราศาสตร์

ปฏิทินดาราศาสตร์แสดงช่วง "วันสั้น" (short day) และ "วันยาว" (long day) จะเห็นชัดเจนว่าระยะออกดอกอยู่ในช่วง "วันสั้น" ที่ผ่านความหนาวเย็นและอากาศแห้ง และเริ่มติดผลอ่อนราว "วสันตวิษุวัต" (vernal equinox) กลางวันเท่ากับกลางคืน จากนั้นเริ่มสะสมสารอาหารตลอดช่วง "วันยาว" (long day) ที่มีแสงอาทิตย์ 12 - 13 ชั่วโมง และแก่ราวปลายเดือนสิงหาคม จนถึงระยะเก็บเกี่ยวเดือนกันยายน
ผลผลิตหมากเม่าและผลิตภัณฑ์ในปัจจุบันจากสวนของอาจารย์คนพ วรรณวงศ์ และ กิจการไวน์เม่าสกลนคร ชาโต้ เดอภูพาน



สรุป
หมากเม่าเป็นไม้ป่าพื้นเมืองเกิดจากการคัดสรรของธรรมชาติในสิ่งแวดล้อมของเทือกเขาภูพาน สกลนคร พี่น้องไทสกลจงภูมิใจในไม้ผลพื้นถิ่นที่เป็นเอกลักษณ์และสร้างเศรษฐกิจอย่างยั้งยืนตราบนานเท่านาน