แทบไม่น่าเชื่อว่าบรรพชนในอดีต ที่วันๆสาละวนอยู่กับการหาอยู่หากินตามธรรมชาติ อาวุธประจำกายที่วิเศษสุดก็คือขวานหินอันเดียว สามารถสร้างปฏิทินจากดวงดาวอันไกลโพ้น ตามหลักฐานทางโบราณคดีท่านเหล่านั้นรู้จักปฏิทินก่อนการประดิษฐ์ตัวอักษร พวกเขาใช้ข้อมูลดาราศาสตร์เป็นเครื่องมือในการกำหนดช่วงเวลา โดยอ้างอิงกับสิ่งที่เห็นบนท้องฟ้าได้แก่ ดวงจันทร์ ดวงอาทิตย์ ดาวเคราะห์ และแม้กระทั่งดาวฤกษ์ ใช้ก้อนหินขนาดใหญ่เรียงตัวกันเป็นสัญลักษณ์ เช่น กองหินลึกลับ สโตนจ์เฮ้นจ์ (Stonehenge) ที่ประเทศอังกฤษ เมื่อมนุษย์เข้าสู่ยุคประวัติศาสตร์ ชาวสุเมเรี่ยนในดินแดนแห่งลุ่มน้ำ ไตรกีส และ ยูเฟรตีส ที่รู้จักกันดีในชื่อว่า เมโสโปเตเมีย (Mesopotamia) ปัจจุบันอยู่ในประเทศอีรัก ได้สร้างปฏิทินขึ้นมาเป็นครั้งแรกของโลกที่เมือง นิปปู (Nippur) เมื่อ 3,760 ปี ก่อนคริสตกาล พวกเขาแบ่งช่วงเวลา 1 ปี ออกเป็น 12 เดือน และให้เริ่มปีใหม่ในวันวสันตวิษุวัต (Vernal Equinox) ซึ่งเป็นวันที่กลางวันเท่ากับกลางคืนและเริ่มต้นฤดูใบไม้ผลิ ครั้นอารยธรรมอียิปต์ฉายแสงขึ้นมาก็สร้างปฏิทินโดยถ่ายทอดข้อมูลไปจากชาวสุเมเรี่ยน ครั้นถึงคิวของอาณาจักรโรมันผงาดขึ้นมาในหน้าประวัติศาสตร์ 753 ปี ก่อนคริสตกาล ก็สร้างปฏิทินโดยนับเริ่มต้นจากปีที่สร้างกรุงโรม ภาษาลาตินใช้คำว่า ab urbe condita (A.U.C.) ปฏิทินโรมันเป็นจันทรคติคือใช้ดวงจันทร์เป็นตัวอ้างอิง ให้ปีหนึ่งมี 10 เดือน หรือ 304 วัน และให้วันที่ 1 มกราคม เป็นปีใหม่ เดือนมกราคม มาจากชื่อของเทพ เจนัส ซึ่งชาวโรมันเชื่อว่าเป็นเทพแห่งการเริ่มต้นใหม่ของโลก เพราะในฤดูหนาว ดวงอาทิตย์ต่ำลงเรื่อยๆทางทิศใต้ ขณะเดียวกันช่วงเวลากลางวันก็สั้นลงจนกลัวว่าโลกจะดับมืดในไม่ช้า แต่พอเวลาผ่านไปไม่กี่วันดวงอาทิตย์ก็หวนกลับคืนมาทางทิศเหนืออีกครั้ง ด้วยการช่วยเหลือจากเทพเจนัส ดังนั้นเดือนที่ดวงอาทิตย์เริ่มกลับคืนมาใหม่จึงเรียกว่า เดือนแห่งเทพเจนัส หรือ January ปฏิทินโรมันมีการปรับเพิ่มเป็น 355 วัน และมีเดือนบวกพิเศษอีก 1 เดือน ทุกๆปีเว้นปี อย่างไรก็ตามก็ยังคลาดเคลื่อนจากรอบปีตามสุริยะคติ ประมาณ 5 วัน ในรอบทุกๆ 4 ปี เมื่อสะสมนานนับร้อยปีก็เป็นเหตุให้วันสำคัญไม่ตรงกับฤดูกาลที่กำหนด ชาวโรมันเริ่มหงุดหงิดกับปฏิทินของพวกเขาแต่ยังไม่มีใครอาจหาญลุกขึ้นมาแก้ไข จวบจนถึงสมัยของจอมทัพผู้ยิ่งใหญ่ จูเลียส ซีซ่า (Julius Caesar) เมื่อ 48 ปี ก่อนคริสตกาล ท่านซีซ่าร์แกคุ้นเคยกับข้อมูลดาราศาสตร์และปฏิทินของอียิปต์เพราะมีหวานใจบ้านเล็กคือพระนางคลีโอพัตราอยู่ที่นั่น จึงเกิดความคิดว่าไหนๆก็มีกิ๊กเป็นสาวอียิปต์แล้วต้องเอาความรู้ของเขามาปรับแก้ปฏิทินโรมันซะเลย ใครจะว่ายังไงก็ช่างเพราะหลวมตัวไปแล้วนี่หว่า อันนี้ผมคิดเองนะครับไม่กล้ายืนยันว่าท่านซีซ่าร์คิดเช่นนี้หรือเปล่า แต่ดูเหตุการณ์มันฟ้องอยู่ในที ท่านจอมทัพเรียกที่ปรึกษาชาวอียิปต์ชื่อ โซซิเจเนส แห่งเมืองอเลกซานเดรีย ซึ่งรู้กันในทีว่าเป็นเด็กฝากของพระนางคลีโอพัตรา มารับมอบหน้าที่ปรับแก้ปฏิทินโรมันเสียใหม่ให้สอดคล้องกับฤดูกาล ในที่สุด โซซิเจเนส ส่งการบ้านอันยอดเยี่ยมให้ท่านซีซ่าร์ ในอีก 2 ปี ต่อมา ( 46 ปี ก่อนคริสตกาล) เป็นปฏิทินสุริยะคติ ปีหนึ่งมี 365 วัน และบวกพิเศษ อีก 1 วัน ทุกๆ 4 ปี เพราะคำนวณจากฐานว่าโลกโคจรรอบดวงอาทิตย์ เท่ากับ 365.25 วัน ในคราวเดียวกันนี้ท่านซีซ่าอยากจะเปลี่ยนวันปีใหม่จากเดิมคือวันที่ 1 มกราคม ไปเป็นวัน วสันตวิษุวัต (Vernal Equinox) ตามที่โซซิเจเนสแนะนำ แต่พวกวุฒิสมาชิกไม่ยอมเพราะปฏิทินโรมันถือว่า วันที่ 1 มกราคม มีความหมายของเทพเจนัสอยู่แล้ว จึงยื่นไม้ตายจะเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจและปลดท่านซีซ่าร์ออกจากตำแหน่ง แค่กรณีไปมีบ้านเล็กและเอาที่ปรึกษาอียิปส์มาทำปฏิทินก็แทบจะเหลือทนแล้ว นี่ได้คืบจะเอาศอกรับกันไม่ได้ ท่านซีซ่าร์จึงตัดสินใจใช้นโยบายแบบ Win-Win คือบ้านเล็กไม่เสียหน้า เก้าอี้จอมทัพก็ยังอยู่ วุฒิสภาก็รับได้ จึงให้ใช้ 1 มกราคม เป็นวันปีใหม่เหมือนเดิม ส่วนรายละเอียดอื่นๆเอาตามแบบอียิปส์ ปฏิทินฉบับนี้มีชื่อว่า ปฏิทินจูเลี่ยน ตามชื่อของท่าน จูเลียส ซีซ่าร์ และมีการใช้อย่างแพร่หลายในประเทศยุโรปมาจวบจนถึง ปี ค.ศ.1582 ก็ต้องสังคายนาอีกครั้งหนึ่งโดยสันตะปาปาเกรกอรี่ ที่ 13 เพราะปฏิทินจูเลี่ยนสะสมความคลาดเคลื่อนแบบติดลบไว้ถึง 10 วัน ทำให้วันสำคัญทางศาสนาคาทอลิกคือ วันอีสเตอร์ ซึ่งถือเป็นวันที่พระเยซูฟื้นคืนชีพหลังจากสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน ผิดไปจากหลักดาราศาสตร์ เนื่องจากวันอีสเตอร์ถูกกำหนดโดยสภาศาสนาแห่งเมืองนีเซีย เมื่อปี ค.ศ. 325 ให้ตรงกับวันอาทิตย์ถัดจากวันเพ็ญที่เกิดขึ้นหลังวันวสันตวิษุวัต และกำหนดให้ วันที่ 21 มีนาคม เป็นวันวสันตวิษุวัต แต่ปฏิทินซีซ่าร์สะสมความคลาดเคลื่อนไว้มากจนเป็นเหตุให้วันที่ 21 มีนาคม แซงหน้าวันวสันตวิษุวัต ไป 10 วันเต็มๆ ปฏิทินใหม่ที่ประกาศใช้โดย สันตะปาปาเกรกอรี่ ที่ 13 กำหนดให้วันรุ่งขึ้นของพฤหัสบดี ที่ 4 ตุลาคม ค.ศ. 1582 กลายเป็นวันศุกร์ที่ 15 ตุลาคม 1582 โดยยังยึด 1 มกราคม เป็นวันปีใหม่เช่นเดิม และมีข้อกำหนดให้เดือนกุมภาพันธ์ของปี ค.ศ. ที่หารด้วย 4 ลงตัวมี 29 วัน เรียกว่า อธิกสุรทิน (Leap year) แต่ปีสุดท้ายของศตวรรษที่หารด้วย 400 ไม่ลงตัว เช่น 1900 และ 2100 คงให้เดือนกุมภาพันธ์ มี 28 วันเช่นเดิม ปฏิทิน เกรเกอเรี่ยน (Gregorian Calendar) กลายเป็นปฏิทินสากลของทั่วโลกรวมทั้งประเทศไทย และทุกประเทศก็ถือว่า 1 มกราคม เป็นวันปีใหม่ของมนุษยชาติ ต้องขอบคุณที่ท่านจอมทัพจูเลียส ซีซ่าร์ ยอมอ่อนข้อให้กับวุฒิสภาโรมันแบบ Win-Win ไม่งั้นเราคงไม่ได้ฉลองปีใหม่พร้อมๆกันทั่วโลก
|

|
|
|
|
เทพเจนัส (God Janus) เจ้าแห่ง เดือนมกราคม (January) ของ ชาวโรมัน มีสองหน้านัยว่าเป็นประตูแห่ง ปีเก่าและปีใหม่ |
|
|
|
|

|

|
|
สันตะปาปา เกรกอรรี่
ที่ 13 (Pope Gregory XIII)
ผู้สั่งให้ปรับแก้ปฏิทินจูเลี่ยน ในปี ค.ศ. 1582 โดยประกาศ เป็นคำสั่งของสำนักวาติกัน และ กลายเป็นปฏิทินสากลของ มวลมนุษย์จนตราบเท่าทุกวันนี้ |
การปรับปรุงปฏิทิน จูเลี่ยน ให้ มาเป็นปฏิทิน เกรเกอเรี่ยน โดย กำหนดให้วันศุกร์ที่ 5 ตุลาคม ค.ศ.1582 กลายเป็นวันศุกร์ที่ 15 ตุลาคม |
|