ฟื้นอดีตเมืองหนองหารหลวงให้จับต้องได้ ...... จะทำอย่างไร?
ภาพลักษณ์ของตัวเมืองสกลนครปัจจุบันแทบไม่เหลือร่องรอยแห่ง "นครหนองหารหลวงที่รุ่งเรือง" เพราะความเจริญทางเศรษฐกิจและสังคมได้กลบทับมรดกของบรรพชนเมื่อพันปีที่แล้วจนแทบหมดสิ้น ..... สิ่งที่หลงเหลือมีเพียงคำร่ำลือ ตำนาน นิทาน และเอกสารทางวิชาการ โชคดียังมีโบราณสถานที่เห็นชัดๆ 3 - 4 แห่ง ได้แก่ สะพานขอม ปราสาทนารายณ์เจงเวง ปราสาทดุม บารายศักดิ์สิทธิ์ (สระพังทอง) และ ปราสาทที่ถูกดัดแปลงเป็นศิลปะล้านช้างในชื่อพระธาตุเชิงชุม
เมืองสกลนคร กับ เม็กซิโก ซิตี้ ก็ตกอยู่ในสภาพเดียวกันคือมองไปทางไหนเต็มไปด้วยถนน ตึกรามบ้านช่อง และอาคารพาณิชย์ ...... ผมสรรค์สนธิ บุณโยทยาน ประธานชมรมอารยธรรมสกลนคร ได้ไปดูงานเกี่ยวกับโบราณคดีที่ Mexico City และเมืองใกล้เคียงเมื่อปี พ.ศ.2559 ทำให้เกิดแนวคิดวิธีฟื้นฟูอดีตให้กลับมาปรากฏแก่สายตาท่านผู้ชมอย่างเราๆท่านๆ .... ติดตามมาครับ

ถ้าท่านบรรพชนชาวขอมผู้สร้างเมืองหนองหารหลวงเมื่อพันปีที่แล้วย้อนเวลากลับมาใหม่ในยุคประชาธิปไตเบ่งบาน ..... ท่านอาจจะรำพึงรำพันเป็นภาษาสันสกฤตว่า "เมืองของตูข้าอยู่ที่ไหนเนี่ย"

กษัตริย์ชาวแอสเทคผู้สร้างเมืองนี้เมื่อพันกว่าปีที่แล้ว .... คงจะรำพันเป็นภาษาสเปนส์เพื่อถามผู้เจริญที่ชอบล่าอาณานิคมในทำนอง "เมืองของตูข้าหายไปไหน?"
.jpeg)
หินจากปีรามิดของชาวแอสเทคถูกเจ้าอาณานิคมรื้อไปสร้างโบสถ์
ไกด์ชาวเม็กซิกันอธิบายว่าย้อนกลับไปพันปีที่แล้วเรากำลังยืนอยู่ใกล้ๆกับลานหน้าปีรามิดของชาวแอสเทค แต่ตอนนี้มองเห็นเพียงกำแพงหินเล็กน้อย (ลูกศรชี้)

ถาม ..... ไหนๆก็ไหนๆบ้านเมืองอันรุ่งเรืองในอดีตกลับกลายเป็นอย่างที่เห็น เราๆท่านๆมีวิธีเอาสิ่งเหล่านั้นกลับมาให้ลูกหลานได้เรียนรู้และตระหนักว่าครั้งหนึ่งบรรพชนขอมพันปีมีองค์ความรู้เชิงวิศวกรรมในการวางผังเมือง การบริหารจัดการน้ำ การสร้างปราสาทให้สอดคล้องกับปรากฏการณ์ดาราศาสตร์ ฯลฯ จะทำได้อย่างไรละ?
ตอบ ..... ง่ายที่สุด ดูตัวอย่างของรัฐบาลท้องถิ่นของ Mexico City เขาใช้วิธี 2 แนวทาง
1.ตรงไหนที่พอจะมองเห็นซากโบราณสถานก็กันเขตไว้ให้ดี มีการบูรณะและจัดทำข้อมูลให้สามารถอธิบายแก่ผู้สนใจว่า ณ ที่นี้เมื่อพันกว่าปีที่แล้วเป็นนครหลวงของอาณาจักรแอสเทคที่เจริญรุ่งเรือง

ส่วนหนึ่งฐานของปีรามิดแอสเทคอยู่กลางเมืองถูกขนาบด้วยอาคารพาณิชย์ ทางการท้องถิ่นบูรณะและทำรั้วกั้นไว้ให้มองเห็นว่านี่คืออดีตเมื่อพันปีที่แล้ว
ส่วนหนึ่งของซากโบราณสถานยุคอารยธรรมแอสเทคถูกขุดพบในที่ดินของเอกชน ทางการท้องถิ่นต้องจ่ายค่าชดเชยและกั้นเป็นเขตอนุรักษ์
ซากโบราณสถานถูกล้อมด้วยอาคารพาณิชย์ ทางการท้องถิ่นได้ใช้งบประมาณดูแลรักษา
2.จัดทำ Model เมืองโบราณในลักษณะพิพิธภัณฑ์กลางแจ้ง (outdoor exhibition) เพื่อเป็นจุด check in ให้นักท่องเที่ยวและผู้สนใจมาชมและ selfie ตามค่านิยมยุคดิจิตอลที่แทบทุกคนมี Mobile Phone พร้อมถ่ายรูปลง social media
Model กลางแจ้ง แสดงรูปร่างหน้าตาของเมืองหลวงแห่งอาณาจักรแอสเทคที่ล้อมรอบไปด้วยทะเลสาบขนาดใหญ่

มีการทำ Model จำลองปีรามิดและโบราณสถานในรูปแบบต่างๆ

ไกลออกไปนอกตัวเมืองตามบ้านนอกบ้านนายังคงมีปีรามิดของชาวแอสเทคตั้งเด่นเป็นสง่า ทางการจึงถือโอกาสขึ้นทะเบียนและออกกฏหมายคุ้มครองห้ามบุกรุก หากปล่อยไว้นานๆก็จะเข้าอีหรอบเดิมเหมือนในเมืองหลวงที่ความเจริญและระบบทุนนิยมย่อมชนะทุกอย่างที่ขวางหน้า

ทุกเมืองที่มีโบราณสถานจะทำป้าย Cutout ขนาดใหญ่ให้นักท่องเที่ยวได้ถ่ายภาพ
เมืองสกลนครก็ไม่ต่างกับ Mexico City ที่ภาพแห่งอดีตถูกความเจริญทับถมจนแทบดูไม่ออกว่าพันปีที่แล้วเคยเป็นเมืองขอมที่รุ่งเรือง แต่ก็ยังโชคดีที่โบราณสถาน 5 แห่ง ยังคงมีทะเบียนของกรมศิลปากร ได้แก่ ปราสาทนารายณ์เจงเวง ปราสาทดุม บารายศักดิ์สิทธิ์ (สระพังทอง) สะพานขอม และปราสาทที่ถูกดัดแปลงเป็นพระธาตุเชิงชุม ดังนั้น สิ่งที่ควรรีบทำ
1.หาวิธีอนุรักษ์และบูรณะให้คงสภาพเดิมตลอดไป ได้ข่าวว่ากรมศิลปากรมีแผนงานจะเดินหน้าในปี 2568 - 2569 คือการปรับภูมิทัศน์สะพานขอม และมีแผนระยะยาวในการบูรณะปราสาทนารายณ์เจงเวง และปราสาทดุม
2.สร้าง Model เมืองหนองหารหลวงโบราณเพื่อให้ลูกหลานและผู้สนใจได้มองเห็นรูปร่างหน้าตาแห่งความรุ่งเรืองในอดีต โดยมีทั้งแบบ Outdoor และ indoor โดยอาศัยภาพถ่ายเก่าๆเป็นแม่แบบ

ตัวอย่าง layout เมืองหนองหารหลวงที่ต้องช่วยกันเติมเต็มด้วยการระดมสองจากผู้รู้สาขาต่างๆเพื่อวางตำแหน่งโบราณสถานให้ดูสมจริงที่สุด



ตัวอย่าง Model สะพานขอมที่ทำหน้าที่ฝายทดน้ำชลประทานเพื่อการทำนาโดยมีหนองสนมเป็นอ่างเก็บน้ำ

หากกรมศิลปากรปรับภูมิทัศน์สะพานขอมเสร็จแล้ว ควรมีป้าย Cutout ขนาดใหญ่ประชาสัมพันธ์ให้เข้าตานักท่องเที่ยว
ภาพเก่าๆเหล่านี้มีประโยชน์อย่างยิ่งต่อการสร้าง Model ของตัวเมืองและโบราณสถานแต่ละแห่ง

ภาพถ่ายทางอากาศปี พ.ศ.2489
ภาพถ่ายสะพานขอม

ปราสาทดุม

ปราสาทเชิงชุม (พระธาตุเชิงชุม)

ปราสาทนารายณ์เจงเวง

ผังระวางของกรมธนารักษ์เมื่อปี พ.ศ.2535 ระบายสีเขียวคือคูเมืองที่มีการออกเอกสารสิทธิ์เป็นที่ดินของส่วนบุคคล สีส้มยังคงเป็นที่ดินราชพัสดุซึ่งเป็นถนน และคันคูเมืองด้านทิศตะวันออก ปัจจุบันชาวบ้านเรียกว่าคูสุด

ที่ดินตรงนี้เชื่อว่าเป็นที่ตั้งประตูเมืองด้านทิศตะวันออกและยังคงเป็นที่ดินของราชการ ก็น่าจะพัฒนาให้มี "ประตูเมืองจำลอง"

รูปร่างหน้าตาของประตูเมืองพิมายซึ่งอาจนำมาเป็นต้นแบบประตูเมืองหนองหารหลวง
สรุป
นี่คือข้อเสนอของชมรมอารยธรรมสกลนครเพื่อฟื้นอดีตแห่งนครหนองหารหลวงซึ่งเป็นมรดกจากบรรพชนเมื่อพันปีที่แล้ว ..... ไทสกลเจ้าของพื้นที่มีความเห็นอย่างไรก็โปรดออกเสียงด้วย ขอบคุณครับ