ปราสาทบริวารที่ภูเพ็ก ...... ถ้าสร้างเสร็จจะใหญ่ขนาดไหน?
ชมรมอารยธรรมสกลนครได้รับคำบอกเล่าจากลุงบุปผา ดวงมาลย์ ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านภูเพ็ก ตำบลนาหัวบ่อ อำเภอพรรณานิคม สกลนคร เมื่อเดือนมีนาคม พ.ศ.2555 ว่า "ฝันเห็นฐานปราสาทเป็นแท่งหินซ่อนตัวอยู่ในป่า" ...... เมื่อได้ยินดังนั้น ไม่รอช้าขอให้คุณลุงรีบพาไปดูทันที ....... เมื่อเดินทางถึงบริเวณดังกล่าวซึ่งอยู่ริมถนนด้านซ้ายมือของทางขึ้นปราสาทภูเพ็ก ณ ระดับความสูง +317 m พบ "กองหินแท่งสี่เหลี่ยมวางเป็นแนวยาว" อยู่ในป่า ........ จริงๆแล้วทีมงานขับรถผ่านบริเวณนี้เป็นประจำแต่มองไม่เห็นและไม่คิดว่าจะมีอะไร
ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ "ความฝันของลุงบุปผา" สามารถนำไปสู่ "ความจริงเชิงประจักษ์" นักพิภพวิทยาอย่างผมเรียนมาทางวิทยาศาสตร์ยอมรับตรงๆ "หาคำอธิบายไม่ได้" อนึ่ง ไม่พบข้อมูลว่าปราสาทหลังนี้มีชื่อว่าอะไร จึงขอเรียกชื่อ "ปราสาทบริวาร .... หรือปราสาทลูก" ไปพลางก่อน

.jpeg)
สถานที่พบ "ฐานปราสาท" บริเวณด้ายซ้ายมือของถนนทางขึ้นปราสาทภูเพ็ก ที่ระดับความสูง +317 เมตร จากระดับน้ำทะเล

ภาพถ่าย Google Earth แสดงพิกัดฐานปราสาทกับที่ตั้งปราสาทภูเพ็ก

จากการสำรวจพบว่าบริเวณที่ก่อสร้างฐานปราสาทเป็นที่ราบบนภูเขา แสดงว่าบรรพชนผู้สร้างต้องมีวิธีเลือกไซด์งานก่อสร้างที่ถูกหลักวิศวกรรมโยธา เพราะที่ราบง่ายต่อการก่อสร้างโดยไม่ต้องปรับแต่งพื้นดินมากนัก ภาษาช่างเรียกว่าประหยัด cut and fill of earth-work ตรงกันข้ามถ้าเลือกสถานที่เป็น slope จะต้องปรับแต่งพื้นที่มหาศาลสิ้นเปลืองกำลังแรงงานและเสียเวลามาก

แสดงไซด์งานก่อสร้างปราสาทบริวาร ณ บริเวณที่ราบบนภูเขา

ลุงบุปผา ดวงมาลย์ และอาจารย์วรวิทย์ ตงศิริ รองประธานชมรมอารยธรรมสกลนคร ประกอบพิธีขอขมาก่อนที่จะเข้าสำรวจ

คุณปู่บุญมา ดวงมาลย์ พ่อของลุงบุปผา ดวงมาลย์ ก็มาร่วมทำพิธีเช่นกัน ท่านผู้นี้มีญาณอะไรบางอย่างที่ผมอธิบายไม่ได้
ผม สรรค์สนธิ บุณโยทยาน นักพิภพวิทยาประธานชมรมอารยธรรมสกลนคร จบการศึกษาวิชาวิทยาศาสตร์ ก็ต้องให้ความเคารพต่อบรรพชนในอดีต ..... ยอมรับว่าภารกิจการสำรวจปราสาทขอมหลายครั้ง ทีมงานใช้ศาสตร์แห่งความเชื่อนำหน้าวิทยาศาสตร์ และเราก็ประสบความสำเร็จสามารถค้นพบสิ่งต่างๆมากมายแทบไม่หน้าเชื่อ ...... แต่ก็ต้องเชื่อ!
สิ่งที่พบเป็นฐานปราสาท
พูดตามหลักวิศวกรรมโยธา การสร้างปราสาทจำเป็นต้องวางฐานรากให้มั่นคงและตรงตามแบบแปลน เช่น วางตัวในทิศทางที่ถูกต้อง และได้ระนาบกับพื้นโลก

อาจารย์วรวิทย์ ตงศิริ พบหินทรายจำนวนมากที่มีการตัดแต่งเป็นก้อนสี่เหลี่ยมวางระเกะระกะทั่วบริเวณ
พบการวางฐานรากด้วยหินทรายก้อนสี่เหลี่ยมเป็นแนวยาว

พบหินทรายแท่งใหญ่วางทิ้งอยู่กลางป่าในบริเวณใกล้เคียง ไม่ทราบว่าทำไมเอามาทิ้งอยู่ตรงนี้?
พบการวางแนวฐานรากหลายด้าน

บางแห่งเป็นฐานรากในแนวคู่ขนาน
สำรวจพบว่าใต้แนวคู่ขนานมีการวางพื้นหินเหมือนจะเป็น "ระเบียงคต" รอบองค์ปราสาท?

วางฐานรากเป็นมุมฉาก
ถ้ามีการขุดสำรวจอย่างถูกต้องตามหลักของกรมศิลปากรน่าจะพบฐานรากเป็นทางยาว

ใช้เครื่องมือวิทยาศาสตร์จับพิกัด พบว่าสอดคล้องกับทิศดาราศาสตร์ในแนว North - West

แนวฐานราก North - West



ตรวจสอบการวางแนวของก้อนหินด้วยอุปกรณ์ เข็มทิศ GPS และ Smartphone พบว่ามีความสอดคล้องกับพิกัดดาราศาสตร์อย่างชัดเจน
คำถาม ........ ยุคนั้นยังไม่มีเครื่องมือและอุปกรณ์วิทยาศาสตร์ ท่านบรรพชนใช้องค์ความรู้อะไรในการกำหนดพิกัดดาราศาสตร์อย่างแม่นยำ ?
คำตอบ ........ น่าจะใช้วิธีที่เรียกว่า Shadow Plot มีอุปกรณ์เพียงไม้แท่งเดียวกับเงาดวงอาทิตย์

.jpeg)
แสดงวิธี Shadow Plot เงาของดวงอาทิตย์สามารถบ่งชี้พิกัดดาราศาสตร์ได้อย่างแม่นยำ

ได้ทดอบ Shadow Plot ด้วยตนเองที่ปราสาทภูเพ็ก เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ ค.ศ.2007 พ.ศ.2553

เริ่มพล้อตเงาดวงอาทิตย์ตั้งแต่เช้าโดยทำเครื่องหมายทุกๆ 10 นาที

เมื่อถึงช่วงบ่ายจะได้เงาดวงอาทิตย์เป็นเส้นโค้งตัดกับวงกลม ลากเส้นตรงระหว่างจุดตัดของเงาดวงอาทิตย์กับเส้นวงกลม จะได้ E - W และสร้างเส้นตั้งฉากจะได้ N - S
.jpeg)
วางก้อนหินตามแนว E - W และ N - S
คำถาม ......... ใช้วิธีอะไรวางแนวระนาบกับพื้นโลก? สมัยนั้นไม่มีสายยางจับระดับน้ำ ไม่มี Level Application Smarthphone ไม่มีอุปกรณ์ยิงแสง Raser จับระดับ
คำตอบ ........ บรรพชนท่านคงจะบอกว่า "เล่นไม่ยากส์" ก็ใช้ "ลูกดิ่ง" กับ "เส้นเชือก" แค่น้ำก็ได้เรื่องแล้วสูเจ้า
.jpeg)
วิธีการจับระดับแนวระนาบด้วยเส้นเชือกกับลูกดิ่ง (หรือวัตถุหนักๆ) แรงดึงดูดขอโลกจะบังคับให้เส้นเชือกทิ้งตัวใน "แนวดิ่ง" และใช้ทฤษฏีเรขาคณิตของท่านปีธากอรัสเมื่อสองพันกว่าปีที่แล้วขยับเส้นเชือกในแนวนอนให้ได้ "มุมฉาก" เพียงเท่านี้ก็ได้ "แนวระนาบชนิดเป๊ะเวอร์"

วางก้อนหินให้สอดรับกับแนวระนาบ
ข้อเสนอแนะ
ถ้ากรมศิลปากรในสังกัดกระทรวงวัฒนธรรมมีงบประมาณสำรวจด้วยเทคโนโลยี LiDAR เพื่อค้นหาและล้อกเป้าพิกัดร่องรอยของโบราณสถาน ตามด้วยการขุดสำรวจด้วยหลักวิชาการ จะต้องพบกับอะไรที่อลังการ และเปิดประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของจังหวัดสกลนคร

ปัจจุบันเทคโนโลยี LiDAR สามารถช่วยค้นหาร่องรอยโบราณสถานที่ซ่อนตัวในป่า

สำนักโบราณคดีที่ 10 จังหวัดร้อยเอ็ดเคยมาดูสถานที่ดังกล่าวเมื่อ พ.ศ.2557 แต่ยังไม่มี "หมากสะตางค์" จึงได้เพียงถ่ายภาพเป็นที่ระลึก

ชมรมอารยธรรมสกลนคร โดยอาจารย์ วรวิทย์ ตงศิริ เข้ายื่นหนังสืออย่างเป็นทางการต่อ ฯพณฯ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เมื่อวันที่ 24 ธันวาคม 2567 เพือขอความอนุเคราะห์ให้จัดสรรงบประมาณเพื่อสำรวจโบราณสถานในจังหวัดสกลนครตามที่ชมรมอารยธรรมสกลนครได้กำหนดพื้นที่ไว้แล้ว
.jpeg)

