Unseen สะพานขอม ....... ไม่ใช่สะพานธรรมดา
กรมศิลปากรส่งทีมมาขุดสำรวจสะพานขอมที่สกลนครในเดือนมิถุนายน - กรกฏาคม 2567 และให้ข้อมูลว่า "นี่คือสะพานหินที่สร้างในยุคขอมเรืองอำนาจ" ........ แต่ในสายตาของนักพิภพวิทยาและประธานชมรมอารยธรรมสกลนคร "สิ่งก่อสร้างอันนี้ต้องเป็นอะไรที่มากกว่าสะพาน" ติดตามมาครับ
โดยส่วนตัวได้ติดตามเรื่องราวสะพานขอมมานานกว่า 20 ปี ด้วยการอ่านข้อมูลในเอกสารของกรมศิลปากรที่ระบุว่า ขึ้นทะเบียนโบราณสถานในชื่อ "สะพานขอม" เมื่อ ปี พ.ศ.2478 มีขนาดกว้าง 4 เมตร ยาว 16 เมตร
เพื่อพิสูจน์ว่า สะพานแห่งนี้ทำหน้าที่ "ฝายทดน้ำเพื่อการชลประทาน" ด้วยเหตุผลเชิงวิทยาศาสตร์และตรรกแห่งความน่าจะเป็น ดังนี้
1. ถนนสายที่สะพานขอมตั้งอยู่เชื่อมระหว่างตัวเมืองสกลนครไปถึงสี่แยกบ้านธาตุ ซึ่งกรมพระยาดำรงราชานุภาพเคยเสด็จมาตรวจราชการเมื่อวันที่ 15 มกราคม พ.ศ.2449 พระองค์ท่านมีบันทึกว่า ..... "ขี่ม้าไปบ้านนาเวง ระยะทาง 15 เส้น ไปตามถนนขอมสร้างไว้แต่ดึกดำบรรพ์ มีสะพานหินเป็นสะพานศิลาแลง ฝีมือขอมทำดีน่าดูอยู่แห่ง 1 เป็นของสมัยเดียวกันกับเทวสถานอรดีมายานารายณ์เจงเวง" ตีความได้ว่ามีสะพานที่ทำด้วยศิลาแลงเพียง 1 แห่ง ขณะที่ถนนสายนี้มีลำห้วยผ่านอีกหลายสายก็ต้องมีสะพาน
คำถาม .... "ทำไมสะพานหินศิลาแลงมีเพียงแห่งเดียว?" ทำไมไม่สร้างให้ครบทุกแห่งตลอดเส้นทางไปบ้านนาเวง
คำตอบ ..... สะพานตัวอื่นๆทำด้วยไม้และผุพังสูญสลายไปตามกาลเวลา แต่สะพานตัวที่เห็นในปัจจุบัน "มีวัตถุประสงค์พิเศษ เป็นฝายทดน้ำเพื่อการชลประทาน สำหรับปลูกข้าว" จึงต้องทำให้มั่นคงแข็งแรง
.jpeg)
.jpeg)
บันทึกของกรมพระยาดำรงราชานุภาพ วันที่ 15 มกราคม พ.ศ.2449 ระบุว่า ..... ขี่ม้าไปบ้านนาเวง ระยะทาง 15 เส้น ..... "ภาพถ่ายก็มีม้าจริงๆ"

แผนที่แสดงให้เห็นว่าถนนจากตัวเมืองสกลไปบ้านนาเวง (ชื่อปัจจุบันบ้านธาตุนาเวง) มีลำน้ำไหลผ่านอีก 3 สาย แต่ตัวสะพานทำด้วยไม้และสูญสลายไปหมดแล้วตามกาลเวลา เหลือเพียงแห่งเดียวคือสะพานขอม
คำถาม ..... ฝายทดน้ำเพื่อการชลประทานมีเพียงแห่งเดียว ทำไมไม่สร้างในลำน้ำสายอื่นๆด้วย
คำตอบ ..... ตามหลักวิชาวิศวกรรมชลประทาน จำเป็นต้องเชื่อมโยงกับ "อ่างเก็บน้ำ" ที่อยู่ต้นน้ำ เพื่อให้มีปริมาณ "น้ำต้นทุน" อย่างเพียงพอต่อการเพาะปลูก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสถานการณ์ฝนทิ้งช่วง เมื่อตรวจสอบความเหมาะสมของภูมิประเทศตามเงื่อนไขนี้จะพบว่า ...... มีเพียงแห่งเดียวที่เข้าสะเป็กคือตำแหน่งที่สร้างสะพานขอม จุดอื่นๆนอกนั้นเป็นเพียงลำน้ำธรรมดาที่ไม่มีอ่างเก็บน้ำ

พิจารณาภาพถ่ายทางอากาศ พ.ศ.2489 มีอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ (ชื่อปัจจุบัน หนองสนม) ใกล้ๆสะพานขอม
ลากเส้นตามร่องรอยในภาพถ่ายจะเห็นการเชื่อมโยงระหว่างอ่างเก็บน้ำกับสะพานขอมและลำน้ำด้านล่างไปลงที่หนองหาร ตรวจสอบข้อมูลจาก Google Earth พบว่าบริเวณด้านบนของหนองสนม (ศูนย์ราชการปัจจุบัน) เป็นที่ดอนทำหน้าที่ "หลังคารับน้ำฝน" (catchment area) ให้ไหลลงไปสะสมในหนองสนมเป็นน้ำต้นทุนและไหลออกไปตามลำน้ำตามความลาดเท โดยมีสะพานขอมทำหน้าที่ "ฝายทดน้ำ" (weir) โครงสร้างแบบนี้ถูกสะเป็กของเทคโนโลยีการชลประทาน ปัจจุบันกรมชลประทานก็ยังใช้หลักการเหมือนเดิม คือ พื้นที่รับน้ำ (Catment area) อ่างเก็บน้ำ (Reservoir) อาคารบังคับน้ำและระบบกระจายน้ำ (Water Gate and Distribution System)
คำถาม ........ ทำไมถนนที่ออกจากตัวเมืองสกลโบราณด้านทิศตะวันตกจึงไม่ตัดให้ตรงกับแนวถนนในตัวเมือง แต่สร้างถนนเฉียงออกไปทางสะพานขอม
คำตอบ ....... ดูตามภาพถ่ายทางอากาศ ปี พ.ศ.2484 เห็นชัดเจนว่าบริเวณด้านนอกตัวเมืองทางทิศตะวันตกมีแหล่งน้ำขนาดใหญ่ ไม่สามารถสร้างถนนผ่านบริเวณนี้ จึงจำเป็นต้องเปลี่ยนแนวถนนใหม่ดังที่เห็นในปัจจุบัน
.jpeg)
ถ้าจะสร้างถนนออกนอกเมืองด้านทิศตะวันตกเป็นเส้นตรง (เส้นไข่ปลาสีเหลือง) จะชนกับหนองน้ำขนาดใหญ่ จำเป็นต้องเลี่ยงไปออกทางด้านทิศเหนือ (เส้นสีแดงทึบ) และอาจเป็นไปได้ที่จะมีประตูเมืองทางทิศตะวันตกแต่ถนนที่ผ่นประตูต้องเลี้ยว 90 องศา ไปทางทิศเหนือ (เส้นสีเหลืองทึบ)
.jpeg)
กรมศิลปากรทำแผนผังเมืองสกลโบราณ มีถนนเป็นรูปกากบาด
.jpeg)
ภาพถ่าย Google Earth ในปัจจุบัน ก็ยังปรากฏพื้นที่ชุ่มน้ำ (wetland) บริเวณนอกคูเมืองด้านทิศตะวันตก
คำถาม ..... บรรพชนเมื่อพันปีที่แล้วที่เราๆท่านๆเรียกเขาเหล่านั้นว่า "ขอม" มีความรู้ความสามารถในวิชา "วิศวกรรมชลประทาน" จริงหรือ?
คำตอบ ...... การค้นคว้าวิชาโบราณคดียืนยันชัดเจนว่าชาวขอมมีความรู้ด้านวิศวกรรม ด้วยหลักฐานเชิงประจักษ์ได้แก่สิ่งก่อสร้างทำด้วยหินทราย ศิลาแลง และอิฐเผาขนาดใหญ่โตจำนวนมากมาย เช่น ปราสาท บาราย (อ่างเก็บน้ำ) และตัวเมืองที่มีกำแพงเป็นรูปทรงเรขาคณิต ....... ที่สำคัญ ชมรมอารยธรรมสกลนครได้ค้นพบ "ฝายกักน้ำทำด้วยหินทรายบนภูเขาทางขึ้นปราสาทภูเพ็ก" กรมศิลปากรก็ได้ยืนยันว่านี่คือฝายจริงๆ รวมทั้งสิ่งก่อสร้างที่นักโบราณคดีค้นพบในประเทศกัมพูชาจำนวนหลายแห่งและยืนยันว่าชาวขอมมีองค์ความรู้ด้าน "เทคโนโลยีการจัดการน้ำระดับเทพ"

ชมรมอารยธรรมสกลนครค้นพบฝายหิน เมื่อเดือนเมษายน 2555 ซ่อนตัวอยู่ในลำธารบนภูเขาที่ระดับ +257 m จากระดับน้ำทะเล ใกล้ๆกับปราสาทภูเพ็ก และแจ้งให้เจ้าหน้าที่กรมศิลปากรทราบ
หน่วยศิลปากรที่ 10 โดยการสนับสนุนของอุทยานแห่งชาติภูพาน ได้เข้าพื้นที่และทำโครงการขุดสำรวจฝายโบราณเมื่อ 30 พฤษภาคม 2557

ขึ้นป้ายโครงการ กิจกรรมขุดลอกฝายโบราณ ปราสาทภูเพ็ก เนื่องในวันอนุรักษ์มรดกไทย ประจำปีพุทธศักราช 2557 วันศุกร์ที่ 30 พฤษภาคม 2557
.jpeg)
ชาวขอมเลือกทำเล (ไซด์งาน) ก่อสร้างฝายเก็บน้ำได้อย่างถูกต้องตามหลักวิชาวิศวกรรมชลประทาน คือต้องเลือกภูมิประเทศที่เป็นทางราบเพื่อให้สามารถเก็บน้ำได้มาก หากเลือกทำเลที่เป็นทางชันจะเก็บน้ำได้น้อยและตัวฝายอาจจะพังได้ง่ายจากแรงกระแทกของน้ำที่พุ่งลงมาจากพื้นที่ slope สูง

ตำแหน่งที่ตั้งของฝายหินบนภูเขาใกล้ปราสาทภูเพ็ก (เส้นสีเหลืองแสดงเส้นทางของลำน้ำ)
.jpeg)
ภาพถ่ายแสดงภูมิประเทศเป็นทางราบของบริเวณลำน้ำก่อนถึงตัวฝาย

ถูกสะเป็กวิศวกรรมชลประทานที่ว่าด้วยการสร้างฝายเก็บน้ำ
กรมการท่องเที่ยวและอุทยานแห่งชาติภูพานขึ้นป้ายฝายขอมโบราณ

ภาพตัวอย่างสะพานขอมทำหน้าที่ฝายทดน้ำที่เมือง "นครธม ประเทศกัมพูชา"
จากประสบการณ์ที่เคยทำงานเป็นที่ปรึกษาให้กับโครงการเกษตรขององค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติในประเทศกัมพูชา เมื่อปี 1998 และทำงานกับโครงการของ IUCN ในภารกิจอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพ และการบริหารจัดการน้ำที่เชื่อมโยงกับประเทศกัมพูชา ระหว่างปี ค.ศ.2006 - 2014 ทำให้มีข้อมูลเรื่องการเกษตรชลประทานยุคขอมเรืองอำนาจ
พิจารณาเหตุผลแล้ว "สอบผ่าน" เชื่อแล้วคราบว่าสะพานขอมทำหน้าที่พิเศษเป็นฝายทดน้ำ ก็อยากจะดูว่าถ้าย้อนเวลากลับไปพันปี ทัศนียภาพของสะพานและฝายทดน้ำจะมีรูปร่างหน้าตาอย่างไร
.jpeg)
จินตนาการภาพสะพานขอมและฝายทดน้ำเมื่อครั้งยังใช้งานในยุคแห่ง "ตำนานหนองหารหลวง"

ฝายทดน้ำทำหน้าที่ยกระดับน้ำให้สูงขึ้นเพื่อบังคับให้ไหลเข้าพื้นที่ปลูกข้าว
.jpeg)
อ่างเก็บน้ำหนองสนม สะพานขอม และพื้นที่ปลูกข้าว
.jpeg)
ภาพจินตนาการของบริเวณสะพานขอมและถนนขอมตรงไปยังปราสาทนารายณ์เจงเวง
.jpeg)
แผนผังตัวเมืองสกลโบราณ สะพานขอม (ฝายทดน้ำ) อ่างเก็บน้ำ (หนองสนม)
.jpeg)
ภาพถ่ายเมื่อครั้งที่กรมพระยาดำรงราชานุภาพเสด็จมาตรวจราชการ เมื่อ ปี 2449 ยังมองเห็นฐานรากของสะพานเป็นช่องให้น้ำลอด
.jpeg)
.jpeg)
ภาพจิตนาการสะพานขอมทำหน้าที่ฝายทดน้ำชลประทานโดยมีหนองสนมเป็นอ่างเก็บน้ำ

ขาสะพานเป็นช่องแคบๆ ง่ายต่อการใช้แผ่นไม้ปิดที่ด้านหน้าเพื่อยกระดับน้ำ (upstream)
อีกหนึ่งหลักฐานเชิงวิชาอุทกวิทยาและวิชาฟิสิกส์ที่เป็นคุณสมบัติของระบบชลประทานทั่วๆไปในพิภพนี้
.jpeg)
พิจารณาภาพถ่าย 2 ภาพนี้ เห็นชัดเจนว่าภาพซ้ายมือมีดินทับถมมากกว่าภาพขวามือ ..... เพราะเหตุผลตามหลักวิชาอุทกวิทยา (Hydrology) และวิชาฟิสิกส์ (Phusic) ความเร็วของน้ำหน้าเขื่อน (V 1) จะถูกชลอตัวด้วยฝายทำให้ความเร็วลดลงยังผลให้ตะกอนที่มากับน้ำ "จมลง" และสะสมอยู่บริเวณนี้ (sedimentation) ส่วนน้ำหลังหรือท้ายฝาย (downstream) จะมีความเร็วเพิ่มขึ้นเพราะหลุดจากสิ่งกีดขวางทำให้ไม่ค่อยมีการตกตะกอน ...... อนึ่ง ภาพนี้ถ่ายเมื่อ ปี พ.ศ.2449 หลังจากอารยธรรมขอมล่มสลายประมาณ 800 ปี และอารยธรรมล้านช้างเข้ามาแทนที่ เชื่อว่าผู้คนที่เข้ามาอยู่อาศัยหลังจากขอมจากไปมีประชากรไม่มากนักจึงไม่มีศักยภาพเพียงพอต่อการบำรุงรักษาระบบชลประทาน และถูกทิ้งร้างเสื่อมสภาพไปตามกาลเวลา อ่างเก็บน้ำ คลองลำเลียงน้ำ และตัวฝาย จึง "หมดสภาพ" อย่างที่เห็นในภาพถ่าย
.jpeg)
ภาพถ่ายด้านหน้าฝาย (upstream) และด้านท้ายฝาย (downstream)

การขุดสำรวจของกรมศิลปากรเมื่อเดือนมิถุนายน 2567 ทำให้เห็นขาและฐานรากของสะพาน
คำถาม ....... นอกจากฝายทดน้ำแล้ว สะพานขอมยังมีอะไรในก่อไผ่ที่สมกับคำว่า Unseen อีกไม้ละ
คำตอบ ....... มีครับ สะพานแห่งนี้วางตัวตรงกับปรากฏการณ์สำคัญทางดาราศาสตร์ คือ ดวงอาทิตย์ขึ้นใน "เหมายัน" (winter solstice) กลางคืนยาวที่สุดในรอบปี และ ดวงอาทิตย์ตกใน "ครีษมายัน" (summer solstice) กลางวันยาวที่สุดในรอบปี

สะพานขอมว่างตัวในพิกัดดาราศาสตร์ ที่มุมกวาด Azimuth 115 องศา (winter solstice) และ มุมกวาด azimuth 295 องศา (summer solstice)

ภาพดวงอาทิตย์ขึ้นเช้าตรู่ปรากฏการณ์ "เหมายัน" (winter solstice) เป็นช่วงปลายเดือนธันวาคมฤดูหนาวท้องฟ้าแจ่มใส

การถ่ายภาพดวงอาทิตย์ตกในปรากฏการณ์ "ครีษมายัน" (summer solstice) เป็นปลายเดือนมิถุนายน ฤดูฝนท้องฟ้าค่อนข้างเมฆมาก แต่ก็พอได้ภาพขณะดวงอาทิตย์ยังสูง ณ เวลา 05:34 pm ในทางดาราศาสตร์ดวงอาทิตย์จะหย่อนตัวลงด้วยมุมเอียงเท่ากับองสาของเส้นรุ้ง ในที่นี้เมืองสกลนคร 17 องศาเหนือ

พอถึงเวลา 06:14 pm ดวงอาทิตย์หย่อนตัวตามสูตรที่ลากเส้นไว้
เปรียบเทียบภาพดวงอาทิตย์กำลังตกในปรากฏการณ์ "ครีษมายัน" ระหว่างเวลา 05:34 pm กับ 06:14 pm

สะพานขอมเป็นสุริยะปฏิทินชี้ปรากฏการณ์ "เหมายัน" กลางคืนยาวที่สุด (winter solstice 21 - 30 Dec) และ "ครีษมายัน" กลางวันยาวที่สุด (summer solstice 21 - 30 Jun)
คำถาม ...... ถ้าลากเส้นตรงตามแนวการวางตัวของสะพานขอมจะไปเจออะไร?
คำตอบ ..... จะไปชนกับปราสาทขอมที่อยู่กลางเมือง ปัจจุบันมีชื่อใหม่ว่า "พระธาตุเชิงชุม"
ภาพถ่ายปี พ.ศ.2489
ภาพ Google Earth ในปัจจุบัน
คำถาม ...... ลองตรวจสอบทางดาราศาสตร์ดูซิ สะพานขอมนอกจากจะวางตัวตรงกับปรากฏการณ์ "เหมายัน และ ครีษมายัน" แล้ว ยังมีอะไรเกี่ยวข้องกับดวงดาวในจักรราศี หรือไม่
คำตอบ ........ โปรแกรมคอมพิวเตอร์ดาราศาสตร์ The Starry Night Pro Plus ตรวจสอบย้อนหลังไปที่ช่วง ปี ค.ศ. 1000 - 1200 พบว่า สะพานขอมตรงกับ "ราศีพิจิก" (scorpio) และดาวฤกษ์ชื่อ "ปาริชาต" (Antares) เป็นหัวใจของราศีแมงป่อง

เช้ามืดวันที่ 21 ธันวาคม ค.ศ.1000 - 1200 ประมาณตีสาม - ตีสี่ ดาว "ปาริชาต" (Antares) ในราศีพิจิก (scorpio) ขึ้นที่ขอบฟ้า ณ มุมกวาด 115 องศา ตรงหน้าสะพานขอม
.jpeg)
.jpeg)
อนึ่ง ราศีพิจิก (scorpio) มีรูปเป็นแมงป่องสัญลักษณ์แห่งอำนาจ

เราๆท่านๆที่เกิดในราศี "พิจิก" ก็น่าจะมานั่งรับพลังที่สะพานขอม ดังตัวอย่าง ท่านอาจารย์วรวิทย์ ตงศิริ รองประธานชมรมอารยธรรมสกลนคร มีสมญานาม ฤาษีเอก อมตะ เกิดในราศีนี้
.jpeg)
ตามหลักโหราศาสตร์ "ราศีพิจิก" (Scorpio) เป็นสัญลักษณ์แห่งพลังอำนาจที่ยิ่งใหญ่สุดในบรรดาจักรราศีทั้งหมด (considered the most powerful sign of zodiac)
.jpeg)
.jpeg)
อาจารย์วรวิทย์ ตงศิริ รองประธานชมรมอารยธรรมสกลนคร ยืนยันความเห็นของ ท่าน ผอ.ดุสิต ทุมมากรณ์ ข้าราชการระดับสูงของกรมศิลปากร ที่กล่าวว่า "เมืองสกลโบราณเป็นเมืองหลวงแห่งอาณาจักรขอมทางทิศเหนือ มีกษัตริย์ปกครอง และสะพานขอมแห่งนี้อยู่ในเส้นทางที่กษัตริย์ใช้เดินทางผ่าน" ......นัยว่าเกี่ยวข้องกับ "สัญลักษณ์แห่งอำนาจ" ...... ด้วยเหตุนี้สะพานขอมจึงต้องวางตัวให้ตรงกับ "ราศีพิจิก"
ไหนๆก็หยิบเรื่องราวสะพานขอมขึ้นมาวิเคราะห์แล้ว ก็จะขอเดินเรื่องให้สุดซอยเพื่อไขข้อข้องใจพระเดชพระคุณไทสกลละเบ้อ .... ที่มักถามว่า "สะพานขอมที่เห็นในปัจจุบันเป็นของจริงหรือของสร้างขึ้นใหม่"
เพื่อความกระจ่างจะไล่เรียงด้วยภาพถ่ายแบบจะๆ ดังนี้
ลำดับ ที่ 1 ..... มกราคม พ.ศ.2449 เป็นภาพถ่ายขณะกรมพระยาดำรงราชานุภาพเสด็จมาตรวจราชการ สะพานขอมยังคงอยู่ในสภาพเดิม เพียงแต่โรยลาไปตามกาลเวลา มีดินมากลบฐานราก
.jpeg)
ลำดับ ที่ 2 ภาพถ่ายของนักศึกษาวิทยาลัยครูสกลนคร สะพานขอมก็ยังคงดูเหมือนเดิม เพียงแต่มีดินกลบมากขึ้น (ภาพนี้น่าจะถ่ายก่อนปี 2516)
ลำดับ ที่ 3 กรมทางหลวงขยายถนนโดยบดอัดดินฝังกลบสะพานขอม .... ในภาพวิศวกรโยธายืนคุมงานดินให้ตรงสะเป็ก แต่ไม่สนสะพานขอมแม้แต่นิดเดียว

.jpeg)

ลำดับที่ 4 กรมศิลปากรต้องออกแรงขุดสะพานขอมและบูรณะใหม่ (ไม่ยืนยันว่า เป็นปี 2517 หรือ 2522)


.jpeg)
ลำดับ ที่ 5 ผลงานบูรณะเสร็จสมบูรณ์สะพานขอมดูสวยงามใหม่เอี่ยม ถ้าใช้วิชาดูพระเครื่องก็ไม่ยากที่จะฟันธงว่า "ใหม่ หรือ เก่า" เพราะใช้หลักฐานรูปทรง รอยตำหนิ เนื้อหิน และการเรียงหิน เปรียบเทียบกับภาพถ่ายต้นฉบับ ปี 2449




ถ้าจะถามว่าภาพถ่ายปัจจุบันที่เอามาเปรียบเทียบกับภาพต้นฉบับ ปี พ.ศ.2449 มุมกล้องตรงกันหรือไม่?
คำตอบ ..... ใช้หลักฐานอ้างอิงข้อมูล ภาพถ่ายปี 2449 ถ่ายเมื่อวันที่ 15 มกราคม ใช้วิชาดาราศาสตร์พิจารณาเงาของแสงอาทิตย์ในวันนั้นเป็นเกณฑ์ และเอามาเข้าโปรแกรมคำนวณหาช่วงเวลาของการถ่ายภาพ อนึ่ง ช่วงเดือนมกราคมเป็นฤดูหนาว และ "วันสั้น" คล้อยหลังปรากฏการณ์ "เหมายัน" ดวงอาทิตย์จะคล้อยไปทางทิศใต้ ภาษาชาวบ้านเรียกว่า "ตะวันอ้อมข้าว"

สะพานขอมวางตัวในแนวตะวันออกเฉียงใต้ (southeast Az 115) กับ ตะวันตกเฉียงเหนือ (northwest Az 295) โดยหันหน้าตรงไปที่ปรากฏการณ์ "เหมายัน" (winter solstice) และหันหลังตรงกับปรากฏการณ์ "ครีษมายัน" (summer solstice)
วันที่ 15 มกราคม เป็นฤดูหนาววิถีการโคจรของดวงอาทิตย์จะคล้อยไปทางทิศใต้ (ตะวันอ้อมข้าว)
ภาพที่ 1 (Photo 1)
ภาพถ่ายสะพานขอม (Photo 1 และ Photo 2) วันที่ 15 มกราคม พ.ศ.2449 มองเห็นเงาดวงอาทิตย์ชัดเจน เมื่อใช้วิชาดาราศาสตร์ คณิตศาสตร์ และฟิสิกส์ เข้ามาประมวลทำให้ทราบว่าภาพนี้ถ่ายด้วยมุมกล้องจากทิศไหน และเป็นเวลาอะไร


.jpeg)
.jpeg)
ภาพ ที่ 1 ดวงอาทิตย์ทำมุมตกกระทบ ที่ 27 องศา (altitude 27) โปรแกรมคณิตศาสตร์และดาราศาสตร์ประมวลผลได้ ณ 15:37 น.
ภาพที่ 2 (Photo 2)
.jpeg)


.jpeg)
ภาพที่ 2 ดวงอาทิตย์ทำมุมตกกระทบ 20 องศา (altitude 20) ประมวลผลได้เวลา ณ 16:12 น.
.jpeg)
Graphic แสดงตำแหน่งดวงอาทิตย์วันที่ 15 มกราคม พ.ศ.2449 ขณะถ่าย Photo 1 และ Photo 2
.jpeg)
.jpeg)
การถ่ายภาพในยุค พ.ศ.2449 ยังไม่มีอุปกรณ์ตัดแสงอาทิตย์ จำเป็นต้องตั้งมุมกล้องไม่ให้ย้อนแสง ภาพนี้ถ่ายเมื่อ 15 มกราคม เป็นฤดูหนาววิถีโคจรของดวงอาทิตย์เอียงไปทาทิศใต้ (ตะวันอ้อมข้าว) ดังนั้นช่างภาพต้องเลือกมุมกล้องไม่ให้ย้อนแสง ภาพที่ออกมาจึงเป็นมุมตะวันตกเฉียงเหนือ

การขุดสำรวจของกรมศิลปากรเมื่อปลายเดือนมิถุนายน 2567 เห็นฐานรากเดิมชัดเจน และยังเห็นก้อนศิลาแลงของเดิมหล่นระเกะระกะอยู่แถวนั้น
สรุป
สะพานขอมที่บูรณะยังวางตัวอยู่บนฐานรากเดิม แนวเดิม เพียงแต่วัสดุที่ใช้ซ่อมเป็นของใหม่เอามาทดแทนของเก่า ทั้งนี้เป็นไปตามมาตรฐานการทำงานของกรมศิลปากรในการบูรณะโบราณสถาน ซึ่งสามารถนำวัสดุมาทดแทนได้ในกรณีจำเป็นที่หาของเดิมไม่ได้ หรือของเดิมสิ้นสภาพ
เรียกว่าซ่อมแซมบูรณะด้วยวัสดุทดแทน ยังดีกว่าทิ้งให้ไร้ค่า เข้าตำรา ...... กำขี้ ดีกว่า กำตด" ละคราบท่านที่เคารพ


เสาต้นนี้ยืนยันว่าเป็นของเดิมเมื่อเปรียบเทียบภาพถ่าย พ.ศ.2449 กับปัจจุบัน เมื่อกรมศิลปากรขุดสำรวจฐานรากของสะพานขอมเดือนมิถุนายน - กรกฏาคม 2567 แสดงว่าการบูรณะยังคงยึดฐานรากเดิมแนวเดิม
คำถาม ...... ถ้าการขุดสำรวจโดยกรมศิลปากรเสร็จสิ้นสมบูรณ์แล้ว เราๆท่านๆไทสกลละเบ้อจะทำอะไรต่อไปในเชิงสร้างสรรและเกิดประโยชน์ต่อการท่องเที่ยว
คำตอบ ..... สมมุติให้ผมมีอำนาจวาสนาเป็นเจ้านายของจังหวัดและมีงบประมาณในมือ ใช้งบประมาณได้ถูกต้องตามระเบียบพัสดุ สำนักงบประมาณ และสตง.ก็เห็นด้วย จะเปิดมิติใหม่ ดังนี้
1. ปรับปรุงทัศนียภาพบริเวณสะพานขอมให้ดูสวยงามและมีโครงสร้างที่ถาวร ระบบระบายน้ำ แสงสียามค่ำคืนด้วย solar light จัดระบบการเข้าชมมีที่จอดรถ ห้องน้ำ มีป้าย cutout ขนาดใหญ่ ฯลฯ
2. วันดีคืนดีก็จัดแสดงแสงสีเสียงด้วยคนแสดงตัวจริง + Technology Digital ยิงภาพ Halogram ประกอบ Gala Dinner สร้างบรรยากาศย้อนยุคด้วยการแต่งกายและตบแต่งบริเวณ พร้อมถ่ายทอดสดไปทั่วประเทศ ทั้งภาษาไทย และภาษาต่างๆ โดยใช้ AI Technology
3. จัดสร้างโมเดลเมืองสกลโบราณ ดังตัวอย่าง Mexico City ทำโมเดลเมืองอารยธรรมชาว Aztec ที่เคยอยู่ที่นี่เมื่อพันกว่าปีที่แล้ว
4. มอบหมายให้องค์กรท้องถิ่นเป็นผู้ดูแลรักษาโดยจังหวัดสามารถตั้งงบยุทธศาสตร์การท่องเที่ยวสนับสนุน

ทัศนียภาพสะพานขอมหลังการปรับปรุง
.jpeg)
.jpeg)
.jpeg)
ทัศนียภาพสะพานขอมและป้าย cutout ขนาดใหญ่ (ถ้าเป็นไปได้ลองเชิญชวนเอกชนรายใหญ่ให้เป็นเจ้าภาพโดยมีโลโก้ของเขาติดอยู่ในป้าย ..... นี่ถ้ากฏหมายไม่ห้าม เชื่อว่าเบียร์สิงห์ต้องสนใจแน่นอน) ..... อนึ่ง ป้าย cutout อันนี้ มีระบบ Digital Smart Information ด้วยคลื่นในระยะ 20 เมตร วิ่งเข้าไปใน smartphone ถ้าผู้รับเลือก click Yes ..... NO thank you ข้อมูลเรื่องราวสะพานขอมจะปรากฏทันที และสามารถ save ได้ ถ้าต้องการ และถ้าไม่ save เดินห่างออกไปเกิน 20 เมตร ข้อมูลจะ delete ตัวเอง ไม่ให้รุงรังใน memory
สะพานขอมถูกน้ำท่วม ...... จะแก้ปัญหาอย่างไร?
สะพานขอมปัจจุบันตั้งอยู่ในแอ่งกระทะไม่มีทางให้น้ำระบายลงไปยังลำห้วยและหนองหาร จำเป็นต้องหาวิธีแก้ไขมิฉะนั้นจะเสียภูมิทัศน์ ....... ได้ศึกษารายละเอียดระบบระบายน้ำในบริเวณใกล้เคียงพบว่ามีท่อฝังใต้ดินจากหนองสนมลอดใต้ถนนไปทิ้งน้ำที่ห้วยโมงและลงหนองหาร หากมีการต่อเชื่อมท่อจากสะพานขอมไปยังท่อดังกล่าวจะสามารถระบายน้ำได้
.jpeg)
เมื่อครั้งอดีตสะพานขอมมีลำน้ำไปลงหนองหาร แต่เมื่อบ้านเมืองเจริญขึ้นมีสิ่งก่อสร้างเช่นถนนที่ถมสูงขึ้นและมีอาคารพาณิชย์เข้ามาปลูกสร้างลำห้วยจึงหายไป
.jpeg)
สภาพภูมิประเทศของสะพานขอมในอดีตเปรียบเทียบกับปัจจุบัน
.jpeg)
ปัจจุบันมีท่อระบายน้ำฝังลอดใต้ดินจากหนองสนมไปยังลำห้วยโมงซึ้งอยู่ไม่ห่างจากสะพานขอม ถ้าเชื่อมท่อระบายน้ำจากสะพานขอมไปยังท่อที่มีอยู่แล้วก็น่าจะเป็นการแก้ปัญหาที่ง่ายที่สุด
.jpeg)
ภาพถ่ายหนองสนมด้วย Google Earth มองเห็นสถานีสูบน้ำ 6 ตัว และท่อระบายน้ำล้น (spillway)

ตัวอย่างป้าย cutout ขนาดใหญ่ ที่ประเทศ Mexico ให้คนเห็นและ selfie

Model เมืองโบราณยุคอารยธรรม Aztec ที่กรุง Mexico City

ฉากตัวอย่างการแสดง Light and Sound ด้วยคนจริงๆ + Technology Hologram Projector ย้อนยุคไปในสมัยพันปีที่แล้ว สะพานขอมหันหน้าตรงกับ "ราศีพิจิก" (Zodiac Scorpio) โดยมี "ดาวปาริชาต" (Star Antares) เป็นสัญลักษณ์