โครงการทดลองปลูกข้าวหอมมะลิใช้น้ำน้อย 2562 (2019)
.jpg)
โครงการร่วมมือระหว่างสาขาวิชาพืชศาสตร์ คณะเทคโนโลยีการเกษตร มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร กับสโมสรโรตารี่สกลนคร โรตารี่สากล ภาค 3340
โจทย์ ถ้าวันหนึ่งข้างหน้าต้องเผชิญกับภาวะขาดแคลนน้ำ เราๆท่านๆจะปลูกข้าวหอมมะลิใช้น้ำน้อยแต่ให้ผลผลิตเท่าเดิมกับที่ปลูกทั่วๆไปในภาคอีสาน ได้หรือไม่?
สาระสำคัญของการทดลอง
1.ใช้พันธ์ุข้าวหอมมะลิ 105
2.ใช้น้ำชลประทานประมาณ 700 มม. เสริมกับน้ำฝน (supplemental irrigation)
3.ประมาณการผลผลิตเท่ากับค่าเฉลี่ยข้าวหอมมะลิทั่วไปของภาคอีสาน 350 - 450 กก./ไร่
4.ดำเนินการโดยนักศึกษาสาขาวิชาพืชศาสตร์ชั้นปีที่ 3 จำนวน 2 คน ชื่อเล่น ปาเกียว และวิทย์
5.เริ่มเพาะกล้า วันที่ 1 สิงหาคม 2562 ปักดำ 29 สิงหาคม 2562 และเก็บเกี่ยว 21 พฤศจิกายน 2562
รวมอายุ 113 วัน
6.ใช้ปุ๋ยพืชสดและปุ๋ยอินทรีย์เท่านั้น
7.ควบคุมวัชพืชด้วยการเตรียมดินที่ดีและใช้น้ำขังในแปลงประมาณ 7-10 วัน
ขั้นตอนการเพาะปลูก
1.ปลูกปอเทือง (Sunn Hemp) เดือนพฤษภาคม 2562 เพื่อไถกลบเดือนกรกฎาคม 2562 เป็นปุ๋ยพืชสดบำรุงดินก่อนปลูกข้าว

2.เพาะกล้าตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2562 (วันที่เมล็ดเริ่มงอก)


เพาะกล้าตั้งแต่วันที่ 1 - 29 สิงหาคม 2562 (อายุของข้าวเริ่มนับตั้งแต่วันที่เริ่มงอก)
3.เตรียมดิน 27 - 28 สิงหาคม 2562

ใส่ปุ๋ยคอก (ขี้วัวขุน)

เตรียมดินอย่างละเอียดเพื่อกำจัดวัชพืช
4.ดำนาด้วยกล้าต้นเดียว 29 สิงหาคม 2562 เหตุผลที่ใช้กล้าต้นเดียวเพื่อต้องการประเมินประสิทธิภาพของการแตกกอ

ถอนกล้า 28 สิงหาคม 2562

29 สิงหาคม 2562 ปักดำด้วยกล้าต้นเดียว 25 cm x 25 cm เพื่อทดสอบการประสิทธิภาพแตกกอ
5.ควบคุมวัชพืชด้วยการปล่อยน้ำขังประมาณ 10 วัน ระหว่าง 29 สิงหาคม - 7 กันยายน 2562

น้ำทำหน้าที่เป็นปัจจัยการควบคุมวัชพืช

ใช้น้ำเป็นตัวกดดันวัชพืชที่ถูกไถกลบไม่ให้งอกขึ้นมาอีก
6.ลดการให้น้ำ เพียงรักษาความชื้นในลักษณะไม่มีน้ำขัง (Aerobic Condition) ช่วงนี้ข้าวมีความต้องการน้ำโดยเฉลี่ยวันละ 6 มม. (water requirement 6 mm per day) และป้องกันไม่ให้มีการปล่อยก๊าซมีเทนอันเนื่องจากสภาพน้ำขังเป็นเวลานาน (anaerobic condition)
เมื่อมั่นใจว่าวัชพืชถูกกำจัดหมดแล้วก็สามารถลดระดับน้ำในแปลงนา

ให้น้ำที่ละน้อยเพื่อรักษาความชื้นในระดับ root zone แต่ไม่ให้มีน้ำขังที่ผิวดิน

การรักษาความชื้นที่พอเหมาะทำให้ข้าวสามารถเจริญเติบโตได้อย่างดีตามศักยภาพของสายพันธ์ุ การปักดำที่ระยะ 25 cm x 25 cm จะสร้างร่มเงาเพื่อกดดันไม่ให้วัชพืชงอกขึ้นมาใหม่

ข้าวแตกกอได้ดีมากในสภาพใช้น้ำน้อย
7.ระยะตั้งท้อง ออกดอก และติดรวง
.jpg)
ระยะตั้งท้องเริ่มตั้งแต่วันที่ 23 กันยายน 2562 ปรากฏการณ์ดาราศาสตร์ "ศารทวิษุวัต" (Autumnal equinox) กลางวันเท่ากับกลางคืนในฤดูใบไม้ร่วงและเริ่มต้นกลางวันสั้น
.jpg)
ระยะออกดอกเริ่มตั้งแต่วันที่ 23 ตุลาคม 2562 ตรงกับปรากฏการณ์ดาราศาสตร์ราศีแมงป่อง (Zodiac Scorpio)
.jpeg)
ช่วงระยะออกดอกให้นักศึกษา "น้องวิทย์" เข้าไปยืนเปรียบเทียบความสูงของต้นข้าว

ภาพถ่ายวันที่ 14 พฤศจิกายน 2562 เป็นระยะรวงข้าวเริ่มแก่และโน้มตัว

พร้อมเก็บเกี่ยว 21 พฤศจิกายน 2562
8.สุ่มตัวอย่างผลผลิต ตรวจ % เมล็ดเสีย ตรวจ % ความชื้น วันที่ 21 พฤศจิกายน 2562


สุ่มตัวอย่างผลผลิต

ตรวจสอบ % เมล็ดเสีย

ตรวจความชื้นโดยขอความอนุเคราะห์จาก ผอ.ศูนย์วิจัยข้าวสกลนคร
9.ประเมินผลผลิต โดยการคัด % เมล็ดเสีย (เมล็ดลีบ) จากโรคไหม้คอรวง (Rice Blast Disease) และหักความชื้นให้เข้าสู่มาตรฐาน 15%

สูตรคำนวณผลผลิตที่ความชื้นมาตรฐาน

การประเมินผลผลิต ด้วยการหักเมล็ดเสีย หักความชื้นให้ได้มาตรฐาน ณ 15%
สรุป
1.เนื่องจากมีการระบาดของโรค "ไหม้คอรวง" (Rice Blast) ทำให้ผลผลิตส่วนหนึ่งเสียหายระหว่าง 26 - 30% ทำให้ได้ผลผลิตเฉลี่ยสูงสุด 441 กก./ไร่ ผลผลิตเฉลี่ยต่ำสุด 328 กก./ไร่ (หากไม่มีโรคไหม้คอรวงระบาดน่าจะได้ผลผลิตเฉลี่ยสูงสุด 596 กก./ไร่ และผลผลิตเฉลี่ยต่ำสุด 548 กก./ไร่)
2.เป็นที่น่าสังเกตว่าปี 2562 มีปรากฏการณ์ฝนทิ้งช่วงในเดือนมิถุนายน และตั้งแต่ต้นเดือนกันยายนเป็นต้นไป (มีพายุโซนร้อนชื่อ "โพดุล" เข้ามาในเดือนสิงหาคม ทำให้มีน้ำฝนมากถึง 411 มม. ขณะที่ค่าเฉลี่ยรอบ 30 ปี อยู่ที่ 357 มม.)

เปรียบเทียบสถิติปริมาณน้ำฝนระหว่างปี 2562 (สีส้ม) กับค่าเฉลี่ย 30 ปี (สีเขียว) ของอำเภอเมืองสกลนคร

ข้อมูลปริมาณน้ำฝนจากสถานีอุตุนิยมวิทยาสกลนคร เปรียบเทียบระหว่าง ค่าเฉลี่ย 30 ปี (สีแดง) ปี 2561 (สีเขียว) และปี 2562 (สีเหลือง)
3.ประมาณการให้น้ำชลประทานเสริมน้ำฝน (supplemental Irrigation) ในช่วงการเพาะปลูกระหว่าง 29 สิงหาคม - 11 พศจิกายน 2562 รวมทั้งหมด 710 มม.

ประมาณการน้ำชลประทานที่ใช้ตลอดช่วงการเพาะปลูก 113 วัน เท่ากับ 710 มม.
4.การจัดช่วงเวลาเพาะปลูกให้ข้าวหอมมะลิเหลืออายุเพียง 113 วัน ทำให้ลำต้นเตี้ยลงและไม่มีปัญหา "ข้าวล้ม" เมื่อเปรียบเทียบกับการทดลองเมื่อปี 2559 (2016)
.jpg)
เปรียบเทียบความสูงระหว่างข้าวหอมมะลิปี 2559 (2016) มีความสูงท่วมหัว 180 ซม. และเกิดปัญหาข้าวล้มช่วงเก็บเกี่ยว แต่ การปลูกในปี 2562 (2019) ข้าวสูงเพียง 120 - 130 ซม. และไม่ล้มในช่วงเก็บเกี่ยว

โครงการทดลองปลูกข้าวหอมมะลิใช้น้ำน้อยเริ่มต้นตั้งแต่ปี 2559 - 2562 รวม 4 ปี โดยปีแรก 2559 (2016) ให้นักศึกษากำหนดช่วงเวลาเพาะปลูกตามใจชอบคือเริ่มเพาะกล้าเดือนมิถุนายน ปักดำเดือนกรกฎาคม พอถึงระยะออกดอกเดือนตุลาคมข้าวสูงท่วมหัว 180 ซม. และเกิดปัญหาข้าวล้มช่วงเก็บเกี่ยว ...... ตั้งแต่ปี 2560 (2017) - 2562 (2019) ปรับช่วงเวลาการปลูกใหม่ เริ่มเพาะกล้าเดือนสิงหาคม ปักดำต้นเดือนกันยายน ทำให้ข้าวมีความสูงลดลงเหลือเพียง 120 - 130 ซม.
เหตุผล "ทำไมต้องใช้น้ำน้อย"
1.เนื่องจากข้าวหอมมะลิเป็นพันธ์ุที่ไวต่อช่วงแสง (photosensitive variety) จะตั้งท้อง (booting) ได้ก็ต่อเมื่อถึงช่วงปรากฏการณ์ดาราศาสตร์ที่เรียกว่า "ศารทวิษุวัต" (autumnal or fall equinox) กลางวันเท่ากับกลางคืนในฤดูใบไม้ร่วง จึงสามารถที่จะกำหนดให้มีอายุสั้นลงเหลือเพียง 113 วัน (เริ่มต้นเพาะเมล็ดให้งอกในวันที่ 1 สิงหาคม 2562 และเก็บเกี่ยววันที่ 21 พฤศจิกายน 2562) ทำให้ความต้องการน้ำชลประทานน้อยลงเมื่อเปรียบเทียบกับข้าวหอมมะลิทั่วไปที่เริ่มเพาะกล้าตั้งแต่กลางเดือนมิถุนายนปักดำเดือนกรกฏาคม และเก็บเกี่ยว 21 พฤศจิกายน รวมอายุ 150 วัน
2.เมื่อกำจัดวัชพืชหมดแล้ว ให้น้ำชลประทานเพียง 50 มม. ทุกๆ 8 - 10 วัน โดยไม่ต้องให้มีน้ำขังตลอดเวลา เฉลี่ยแล้วตกวันละ 5 - 6 มม. (ถ้ามีฝนตกก็เปิดทางระบายน้ำเพื่อรักษาระดับที่ 5 ซม และปล่อยให้ซึมลงไปในดินจนไม่มีน้ำขัง)
3.ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก "มีเทน" จากสภาพน้ำขังเป็นเวลานาน ก๊าซชนิดนี้คือหนึ่งในบรรดาต้นเหตุการก่อปัญหาโลกร้อน
.jpg)
ข้าวหอมมะลิเป็นพันธ์ุไวต่อช่วงแสงจะตั้งท้องได้ก็ต่อเมื่อถึงช่วงปรากฏการณ์ดาราศาสตร์ "ศารทวิษุวัต" (autumnal equinox) 23 กันยายน ซึ่งจะเริ่มต้นกลางวันสั้นกว่ากลางคืน (short day)
.jpg)
ตารางการปลูกข้าวหอมมะลิทั่วไปในภาคอีสาน มีอายุราว 150 วัน
ขอขอบคุณ
คณะอาจารย์สาขาพืชศาสตร์ทั้งสามท่าน อจ.กุ้ง ดร.พิจิกา ทิมสุกใส อจ.นัท ผศ.ณัฐพงษ์ วงษ์มา และ อจ. รศ.ดร.สมชาย บุตรนันท์ ที่ให้การสนับสนุนทางวิชาการอย่างแข็งขัน
น้องๆนักศึกษาวิชาพืชศาสตร์ชั้นปีที่สาม คณะเทคโนโลยีการเกษตร มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร โดยเฉพาะอย่างยิ่ง "ปาเกียว และวิทย์" ซึ่งรับผิดชอบโครงการให้ความเอาใจใส่ ลงมือ ลงแรง อย่างจริงจัง

อาจารย์กุ้ง ดร.พิจิกา ทิมสุกใส อาจารย์นัท ผศ.ณัฐพงษ์ วงษ์มา และอาจารย์ รศ.ดร.สมชาย บุตรนันท์ สามแรงแข็งขันของสาขาพืชศาสตร์ที่ให้การสนับสนุนโครงการตลอดระยะเวลาตั้งแต่ 2559 จนสิ้นสุดปี 2562

น้องวิทย์และน้องปาเกียว นักศึกษาพืชศาสตร์ปี 3 (2562)