ปราสาทนารายณ์เจงเวง
ในมุมมองของดาราศาสตร์ ความเชื่อ และศาสนา
![](http://www.yclsakhon.com/images/sub_1321426378/Slide1(1).jpg)
ปราสาทนารายณ์เจงเวงหันหน้าไปหาทิศตะวันออกแท้ ทำมุมกวาด 90 องศาจากทิศเหนือ (azimuth 90)
ปราสาทนารายณ์เจงเวงในมุมมอง 3 เวอร์ชั่น
ปราสาทนารายณ์เจงเวง เป็นชื่อที่เรียกขานในยุครัตตนโกสินทร์และไม่มีข้อมูลยืนยันว่าชื่อดั้งเดิมเป็นอะไร ตั้งอยู่ที่บ้านธาตุนาเวง อำเภอเมืองสกลนคร
1. ตำนานที่กล่าวถึงการแข่งขันระหว่าฝ่ายชายและฝ่ายหญิงเพื่อแย่งชิงการครอบครองพระอุรังคธาตุที่พระมหากัสปะนำมาจากอินเดีย ฝ่ายหญิงสร้างปราสาทนารายณ์เจงเวง ฝ่ายชายสร้างปราสาทภูเพ็กบนยอดภูเขา ลงเอยสุดท้ายฝ่ายหญิงชนะด้วยมารยาสตรีที่หลอกล่อให้ฝ่ายชายไม่สนใจทำงานจนกระทั่งเกือบรุ่งสางฝ่ายหญิงทำโคมไฟลอยขึ้นบนฟ้าและหลอกว่า "ดาวเพ็กขึ้นแล้ว" ให้หยุดก่อสร้างและเอาผลงานมาเปรียบเทียบกัน ฝ่ายชายจึงรู้ว่าถูกหลอกแต่ก็สายไปแล้ว กรมพระยาดำรงราชานุภาพเสด็จมาตรวจราชการเมื่อเดือนมกราคม ปี พ.ศ. 2449 ท่านคงจะได้รับทราบตำนานดังกล่าวจึงมีบันทึกเรียกปราสาทหลังนี้ว่า "ปราสาทอรดีมายา" อนึ่ง นักโบราณคดีชาวฝรั่งเศสชื่ออะโมนีเยได้เดินทางมาที่สกลนครก่อนกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ราว 5 ปี มีบันทึกกล่าวถึงตำนานเค้าโครงนี้ว่า "เป็นตำนานระดับภูมิภาค" เพราะการแข่งขันระหว่างชายหญิงเกิดขึ้นอีกหลายแห่ง เช่น ปราสาทพิมายกับปราสาทพนมวัน ปราสาทวัดภู (ที่จัมปาสัก)กับพระธาตุพนม และที่กรุงพนมเป็ญ กัมพูชา
2. ทางโบราณคดีถือว่าเป็นโบราณสถานที่สมบูรณ์ที่สุดของจังหวัดสกลนครจากข้อมูลของกรมศิลปากรระบุว่าสร้างในสมัย “ศิลปะขอมปาปวน” ตรงกับแผ่นดินของพระเจ้าอุทัยอาทิตย์วรมัน ที่ 2 ระหว่าง ค.ศ.1050 — 1066 (พ.ศ. 1593 — 1609) หรือช่วงต่อระหว่าง พุทธศตวรรษ ที่ 16 — 17
3. แง่มุมดาราศาสตร์ ปราสาทหลังนี้ออกแบบให้ทำมุมกวาด 90 องศาจากทิศเหนือ (Azimuth 90) โดยหันหน้าเข้าสู่ทิศตะวันออกแท้ หรือวสันตวิษุวัต (Vernal equinox) และมีท่อน้ำมนต์ศักดิ์สิทธิ์หรือท่อโสมสูตรชี้ตรงกับทิศเหนือ ขณะเดียวกันก็ตั้งอยู่ในเส้นตรงกับปราสาทภูเพ็ก ณ เส้นรุ้ง 17 องศา 11 ลิปดา
![](http://www.yclsakhon.com/images/sub_1321426378/Slide68.jpeg)
ปราสาทภูเพ็ก ปราสาทนารายณ์เจงเวง และเกาะดอนสวรรค์ อยู่ในเส้นตรงเดียวกันที่ latitude N 17 11 เมื่อปี 2540 หอการค้าสกลนครเคยเชิญซินแสชื่อดังมาเป็นวิทยากรเรื่องฮวงจุ้ยของเมือง
ปราสาทปาปวนหันหน้าเข้าหาทิศตะวันออกแท้
ปราสาทปาปวนหันหน้าเข้าหาทิศตะวันออกแท้
ปราสาทปาปวนหันหน้าเข้าหาทิศตะวันออกแท้ (Due east)
ปราสาทนารายณ์เจงเวงมีสระน้ำศักดิ์สิทธิ์ "บาราย" หรือไม่
เอกสารการขึ้นทะเบียนของกรมศิลปากร ประกาศในราชกิจจานุเบกษาขึ้นทะเบียนโบราณสถาน เมื่อวันที่ 8 มีนาคม พ.ศ.2478 ระบุถ้อยคำว่า พระธาตุนารายณ์เจงเวง ต.นาเวง อ.เมือง จ.สกลนคร มีสิ่งสำคัญ 1.ปรางค์ก่อหินทรายสีชมพู
2.ฐานศิลาแลง (ไม่ปรากฏ "สระน้ำ")
แต่ในเอกสารเดียวกันกล่าวถึงพระธาตุดุม ต.งิ้วด่อน อ.เมือง จ.สกลนคร มีสิ่งสำคัญ
1.ปราสาทอิฐ 3 หลัง สร้างด้วยหินทรายสีชมพู
2.ฐานศิลาแลง
3.สระน้ำ
โดยหลักการของปราสาทขอมต้องมีสระน้ำศักดิ์สิทธิ์ที่เรียกว่า "บาราย" แต่ทำไมปราสาทนารายณ์เจงเวงจึงไม่ปรากฏ "บาราย" อยู่ในสาระบบ ความเห็นส่วนตัวเชื่อว่าการสำรวจพื้นที่ในจังหวัดสกลนครโดยกองรังวัดของกรมศิลปากรในปี พ.ศ.2476 เพื่อประกาศขึ้นทะเบียนโบราณสถานเมื่อปี พ.ศ.2478 อาจจะไม่เห็นบารายแห่งนี้เนื่องจากสภาพภูมิประเทศเป็นป่า หรือบารายตื้นเขินจนเหมือนพื้นดินทั่วๆไป
อนึ่ง ได้รับการบอกเล่าจากเพื่อน ชื่อคุณนฤทธิ์ คำธิศรี เป็นปราชญ์เกษตรอยู่ที่อำเภอกุสุมาลย์ รู้จักกับเจ้าของที่ดินแปลงนี้และเคยมานั่งเล่นอยู่ที่ศาลากลางน้ำมองเห็นแนวก้อนหินศิลาแลงเรียงตัวอยู่ที่ขอบสระ แต่ไม่ทราบว่าเป็นอะไร เมื่อพิจารณาจากเรื่องราวและหลักฐานแวดล้อมทางประวัติศาสตร์ โบราณคดี ประกอบกับภาพถ่าย Google Earth ทำให้เชื่อว่า "บาราย" ของปราสาทนารายณ์เจงเวง คือสระน้ำที่ปรากฏในภาพข้างล่างนี้ อย่างไรก็ตามทราบว่าปัจจุบันสระน้ำแห่งนี้เป็นที่ดินมีเอกสารสิทธิ์ของบุคคล
เปรียบเทียบภาพถ่าย Google Earth ระหว่างพระธาตุเชิงชุม พระธาตุนารายณ์เจงเวง พระธาตุดุม และปราสาทบ้านพันนา แสดงให้เห็นว่าปราสาทขอมมีสระน้ำศักดิ์สิทธิ์ที่เรียกว่า "บาราย" ถ้าเป็นเช่นนี้ปราสาทนารายณ์เจงเวงก็ต้องมีบารายเช่นกัน
ภาพถ่ายดาวเทียม Google Earth แสดงให้เห็นปราสาทนารายณ์เจงเวง และสระน้ำศักดิ์สิทธิ์ “บาราย” ซึ่งปัจจุบันเป็นที่ดินของประชาชน อยู่ด้านหลังตลาดสดบ้านธาตุนาเวง อำเภอเมืองสกลนคร
![](http://www.yclsakhon.com/images/sub_1321426378/Slide31.jpg)
ภาพถ่ายทางอากาศ ปี พ.ศ.2516 มองเห็นร่องรอยของ "บาราย" ปราสาทนารยณ์เจงเวงชัดเจน
![](http://www.yclsakhon.com/images/sub_1321426378/Baray Narai and Choeng Chum.jpg)
เปรียบเทียบภาพถ่ายระหว่างปราสาทนารายณ์เจงเวง (พ.ศ.2516) กับปราสาทเชิงชุม (พ.ศ.2489) จะเห็นว่าตำแหน่งที่ตั้งของ "บาราย" อยู่ทางทิศเหนือของปราสาททั้งคู่ แสดงว่าสไตล์การวางผังก่อสร้างมาในแนวคิดเดียวกัน
สระน้ำที่เชื่อว่าเป็น "บาราย" ของพระธาตุนารายณ์เจงเวง และกลางน้ำมีศาลาที่คุณนฤทธิ์ คำธิศรี กล่าวถึง
![](http://www.yclsakhon.com/images/sub_1321426378/Slide1(1).jpeg)
เปรียบเทียบภาพถ่ายระหว่าง ปี 2514 2546 และ ปัจจุบัน
ปราสาทปาปวน ต้นแบบของปราสาทนารายณ์เจงเวง
เปรียบเทียบความเหมือนในรูปแบบการก่อสร้างและศิลปะระหว่างปราสาทปาปวน เมืองเสียมราช ประเทศกัมพูชา กับปราสาทนารายณ์เจงเวง เมืองสกลนคร ประเทศไทย บ่งชี้ให้เห็นว่ามีแบบแผนการก่อสร้างและศิลปะคล้ายกันมาก ด้วยเหตุผลนี้กรมศิลปากรจึงให้ความเห็นว่าปราสาทนารายณ์เจงเวงอยู่ในยุคสมัยปาปวน
เปรียบเทียบศิลปะจากภาพแกะสลักหินทรายของปราสาทนารายณ์เจงเวง สกลนคร กับปราสาทปาปวน เสียมราช พบว่ามีความเหมือนกันมากแสดงว่าน่าจะสร้างในยุคสมัยเดียวกัน
![](http://www.yclsakhon.com/images/sub_1321426378/Picture17.png)
ท่อโสมสูตร
ท่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ที่ผนังด้านทิศเหนือของตัวปราสาท เป็นส่วนที่เชื่อมโยงกับฐานโยนีที่อยู่ภายในห้อง
![](http://www.yclsakhon.com/images/sub_1321426378/Slide1(4).jpg)
อวตาลกอร์มะ จ้องมองไปยังดาวเหนือ เนื่องจากทิศเหนือเป็นสถานที่ตั้งเขาพระสุเมรุ ซึ่งเป็นแกนของโลกและเป็นที่สถิตย์ของเทพเจ้า ในภาพจะเห็น GPS แสดงมุมเงยที่ 17 องศา เนื่องจากปราสาทหลังนี้ตั้งอยู่ที่เส้นรุ้ง 17 องศาเหนือ ดังนั้นตำแหน่งดาวเหนือจะอยู่ที่มุมเงยตามองศาที่ 17 (altitude 17)
ตามหลักการดาราศาสตร์ตำแหน่งดาวเหนือจะอยู่ที่มุมเงยเท่ากับองศาของเส้นรุ้ง ณ สถานที่นั้นๆ ในกรณีนี้ปราสาทนารายณ์เจงเวงตั้งอยู่ที่เส้นรุ้ง 17 องศาเหนือ ดาวเหนือก็จะอยู่ที่มุมเงย 17 องศา เช่นกัน
การพิสูจน์ทางคณิตศาสตร์ตามหลักการของ "ปีธากอรัส" ให้เห็นว่ามุมเงยของดาวเหนือเท่ากับองศาของเส้นรุ้ง ณ สถานที่นั้นๆ
![](http://www.yclsakhon.com/images/sub_1321426378/Picture7.png)
![](http://www.yclsakhon.com/images/sub_1321426378/Slide1.jpg)
เข็มทิศแสดงร่องน้ำศักดิ์สิทธิของท่อโสมสูตรชี้ไปทางทิศเหนือ
ปราสาทหลังนี้มีท่อน้ำมนต์ศักดิ์สิทธิ์ “ท่อโสมสูตร” เห็นได้ชัดเจนอยู่ที่ฐานด้านทิศเหนือ โดยมีรางยื่นออกมาจากประตูหลอกทิศเหนือ และปลายท่อเป็นรูปหัวเต่า น่าจะหมายถึง “อวตาลกอร์มะ” ของพระวิศนุ ซึ่งอยู่ในเรื่องราวของพิธีกวนน้ำอมฤต โดยพระวิศนุแปลงกายลงมาเป็นเต่ายักษ์ช่วยหนุนภูเขามันทราระซึ่งเป็นแกนสำหรับกวนทะเลน้ำนมไม่ให้จมลงในทะเล ทางออกของท่อโสมสูตรที่อยู่ภายในตัวปราสาท ด้านทิศเหนือ พระวิศนุบรรทมอยู่บนหลังอนันตนาคราช บนซุ้มประตูหลอกด้านทิศเหนือ ข้างเดียวกับท่อโสมสูตรที่อยู่ข้างล่าง
ปราสาทนารายณ์เจงเวงถูกวางให้สอดคล้องกับตำแหน่งทางดาราศาสตร์ทั้งสี่ทิศ
ที่ตรงกลางของธรณีประตูทิศตะวันออก ยังมีรอยขีดแสดงตำแหน่งทิศตะวันออกแท้ หรือ Vernal equinox เป็นช่องทางที่แสดงอาทิตย์ยามเช้าของวันที่ 21 มีนาคม จะผ่านเข้าไปภายในห้อง
ธรณีประตูทิศตะวันออก GPS ชี้ที่มุมกวาด Azimuth 90 องศา หรือ Equinox
เส้นแสดงทิศตะวันออกที่ประตูหลอก
ท่อโสมสูตรชี้ที่ทิศเหนือ
ที่พื้นหน้าประตูหลอกทิศใต้มีเส้นแสดงทิศใต้เหลืออยู่พอมองเห็นได้ เส้นนี้ตรงกับ center line ของประตูหลอก
หากพิจารณาภูมิประเทศย้อนหลังไปถึงสมัยนั้น ปราสาทนารายณ์เจงเวงตั้งอยู่บนที่สูง สามารถมองเห็นหนองหารที่อยู่ห่างออกไปประมาณ 5 กิโลเมตรได้อย่างชัดเจน และแสงอาทิตย์ก็สามารถส่องเข้าหน้าประตูปราสาทอย่างตรงๆโดยไม่มีอะไรมาบดบัง แต่กาลเวลาผันเปลี่ยนไปความเจริญของบ้านเมืองเข้ามาแทนที่ ทำให้ภูมิประเทศถูกปรับเปลี่ยนเป็นตึกรามบ้านช่อง และสิ่งก่อสร้างนานาชนิด ภาพของปราสาทที่สร้างขึ้นโดยอิงปรากฏการณ์ทางดาราศาสตร์จึงเลือนหายไปอย่างน่าเสียดาย
![](http://www.yclsakhon.com/images/sub_1321426378/Picture4.png)
ปราสาทหลังนี้มีความเกี่ยวข้องกับเรื่องราวของพิธีกวนน้ำอมฤต เนื่องจากมีภาพแกะสลักของพระวิศนุและอวตาลกอร์มะ (เต่ายักษ์) ซึ่งเป็นความเชื่อของชาวขอมและยังตกทอดมาถึงพี่ไทยอย่างเราๆท่านๆในปัจจุบัน สนามบินสุวรรณภูมิอันอลังกาลของชาวไทยก็มีรูปปั้นขนาดยักษ์ของพิธีกรรมนี้ เพื่อความเป็นศิริมงคลแก่สนามบินของเรา น้ำอมฤตเป็นสิ่งที่บรรดาเทพและอสูรต้องการเป็นอย่างยิ่งเพราะก่อให้เกิดความคงกระพันเป็นอมตะ มีฤทธิ์เดชเหลือรับประทาน แต่ต้องใช้เวลากวนทะเลน้ำนมนานมากถึงล้านปี โดยให้ท่านพญานาคชื่อ "วาสุกรี" เป็นเชือกพันรอบภูเขา "มันทราระ" และใช้บรรดาเทพกับเหล่าอสูรช่วยกันดึงให้ภูเขาทำหน้าที่เสมือนไม้พายกวนทะเลน้ำนม อย่างไรก็ตามทั้งเทพและอสูรต่างอ่านกินกันในที เพราะวางแผนจะยึดเอาน้ำอมฤตเป็นของตนฝ่ายเดียว ในที่สุดเทพก็ชนะตามสูตรได้น้ำอมฤตไปกินโดยความช่วยเหลือของพระวิศนุ อย่างไรก็ตามระหว่างพิธีกวนทะเลน้ำนม ภูเขามันทราระทำท่าจะจมมหาสมุทร พระวิศนุจึงต้องแปลงกายลงมาเป็น "อวตาลกอร์มะ" หรือเต่ายักษ์ ทำหน้าที่หนุนไม่ให้ภูเขาจมน้ำทะเล ดังนั้นรูปปั้นพิธีดังกล่าวจึงต้องมีเต่ายักษ์ปรากฏกายอยู่ข้างล่าง
![](http://www.yclsakhon.com/images/sub_1321426378/Picture10.png)
![](http://www.yclsakhon.com/images/sub_1321426378/Picture11.png)
ปราสาทนารายณ์เจงเวง ได้รับการบูรณะโดยกรมศิลปากรซึ่งใช้วิธีการแบบฝรั่งเศส เรียกว่า "อนาสติโลซีส" (Anastylosis) โดยรื้อทุกชิ้นส่วนออกมาทำความสะอาด ซ่อมแซม และประกอบเข้าไปใหม่ตามเบอร์ที่กำกับไว้แต่แรก ปรากฏว่าปราสาทของเราอาจจะเข้าตำรา ซ่อมรถยนต์เสร็จยังมีชิ้นส่วนเหลือข้างนอกอีกมากโข แต่รถวิ่งได้ซะอย่าง เพราะหินจำนวนมากที่มีเป็นรูปแกะสลักสวยงามถูกกองทิ้งอยู่ใต้ต้นไม้มานานหลายปี เผลอๆอาจจะไปโผล่ที่ร้านค้าวัตถุโบราณหรือพิพิธภัณฑ์ในต่างประเทศ และเราๆท่านๆต้องไปทวงคืนเหมือกรณี "นารายณ์บรรทมสินธุ์"
![](http://www.yclsakhon.com/images/sub_1321426378/Picture12.png)
![](http://www.yclsakhon.com/images/sub_1321426378/Picture13.png)
![](http://www.yclsakhon.com/images/sub_1321426378/Picture14.png)
![](http://www.yclsakhon.com/images/sub_1321426378/Picture15.png)
![](http://www.yclsakhon.com/images/sub_1321426378/Picture16.png)
ในความเห็นของผม เทศบาลเมืองสกลของเราได้สยายปีกเป็น "เทศบาลนคร" เรียบร้อยแล้วยังไงก็อย่าลืมหันมาจัดการเรื่องโบราณสถานอันล้ำค่าแห่งน้ีด้วยนะคร้าบ เพราะกองหินเหล่านี้เป็นส่วนที่รื้อออกมาเพื่อที่จะซ่อมแซมตามหลักการที่เรียกว่า "อะนาสตีโลซีส" (Anastylosis) แต่ทำไปทำมามีกองหินเหลืออยู่จำนวนมากยังไม่รู้ว่าจะเอาขึ้นไปไว้ตรงไหน ผมไปดูแล้วมีหลายก้อนสลักเรื่องราวและรูปภาพที่สื่อถึงความเชื่อและการแต่งกายของยุคนั้น
![](http://www.yclsakhon.com/images/sub_1321426378/Slide1(7).jpg)
![](http://www.yclsakhon.com/images/sub_1321426378/Slide2(2).jpg)